เพราะผิวหนังมีโปรตีนอีลาสตินและคอลลาเจนเป็นองค์ประกอบหลักที่ช่วยให้ผิวพรรณมีความยืดหยุ่นและแข็งแรง แต่เมื่อใดที่เรา (ชื่นชอบในรสชาติหวานเป็นพิเศษ) รับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่ปรุงด้วยน้ำตาลทรายสูง เมื่อนั้น น้ำตาลจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้ระดับน้ำตาลที่บริเวณผิวหนังสูงขึ้นจนสามารถไปจับตัวกับโปรตีนอีลาสตินและคอลลาเจนเกิดเป็นสารประกอบที่มีชื่อว่า Advanced glycation end products หรือ กระบวนการไกลเคชั่น หรือ AGEs ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดริ้วรอยและแก่ก่อนวัยนั่นเอง
AGEs มีส่วนที่ทำให้โปรตีนอีลาสตินและคอลลาเจนเสื่อมสภาพ ส่งผลให้ความยืดหยุ่นของผิวหนังลดลง เกิดการหย่อนคล้อย โดยทั่วไปการสะสมของ AGEs บริเวณผิวหนังจะเพิ่มมากขึ้นตามอายุอยู่แล้ว แต่กระบวนการดังกล่าวจะเกิดได้เร็วขึ้นเมื่อเราติดหวาน หรือชื่นชอบการบริโภคอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลสูง
มีการศึกษาพบว่า ร่างกายคนเรามีกลไกทำลายโปรตีนที่เสื่อมสภาพ แต่ AGEs กลับสามารถยับยั้งการทำงานของกลไกนั้นได้ ทำให้มีการสะสมของโปรตีนอีลาสตินและคอลลาเจนที่เสื่อมสภาพไว้มากมาย นอกจากนี้ AGEs ยังมีส่วนในการกระตุ้นการสร้างสารอนุมูลอิสระและสารก่อการอักเสบที่เป็นตัวทำลายเซลล์ผิวหนัง และยับยั้งกระบวนการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ซึ่งการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ สามารถลดการเกิด AGEs ในโปรตีนคอลลาเจนได้จริง
องค์การอนามัยโลกจึงแนะนำปริมาณน้ำตาลที่บริโภคได้ไม่ควรเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน แต่ในความเป็นจริง รายงานจากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พบว่าคนไทยบริโภคน้ำตาลสูงถึงวันละ 28.4 ช้อนชา ซึ่งสูงกว่าค่าแนะนำถึง 4.7 เท่า ส่วนใหญ่มาจากเครื่องดื่มนานาชนิด ทั้งชานมไข่มุก ขนมหวาน เค้ก เบเกอรี่ ฯลฯ เป็นต้น การบริโภคน้ำตาลสูงหรือติดหวาน ไม่เพียงแต่มีความสัมพันธ์กับการเกิดริ้วรอยแก่ก่อนวัยเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นกับเซลล์บริเวณอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายของเราด้วย
ทางออกของการอยู่ร่วมกับความหวานโดยไม่ทำร้ายสุขภาพ
นักโภชนาการบางคนแนะนำให้หลีกเลี่ยงน้ำตาลโดยสิ้นเชิง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แต่หากคุณขาดอะไรที่หวาน ๆ ไม่ได้จริง ๆ ลองมาดูกันว่า ทางออกดังกล่าวมีอะไรบ้าง