สมัครสมาชิก / เข้าสู่ระบบ
หรือ
หากคุณยังไม่ได้เป็นสมาชิกกับเรา !
การดำเนินการต่อถือว่าคุณยอมรับ
ข้อกำหนดและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว
เราอาจส่งข่าวสารให้ท่าน ท่านสามารถปิดการรับข่าวสาร
ได้โดยเปลี่ยนการตั้งค่าในบัญชีของท่าน
เราจะไม่ส่งข่าวสารโดยไม่ได้รับอนุญาตจากท่าน
สมัครสมาชิก / เข้าสู่ระบบ
หากคุณยังไม่ได้เป็นสมาชิกกับเรา !
หรือเข้าสู่ระบบด้วย
หรือ
สั่งซื้อทันทีโดยไม่สมัครสมาชิก
การดำเนินการต่อถือว่าคุณยอมรับ
ข้อกำหนดและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว
เราอาจส่งข่าวสารให้ท่าน ท่านสามารถปิดการรับข่าวสาร
ได้โดยเปลี่ยนการตั้งค่าในบัญชีของท่าน
เราจะไม่ส่งข่าวสารโดยไม่ได้รับอนุญาตจากท่าน
ตะกร้าสินค้า
รายการสินค้าที่สั่งซื้อ
ยังไม่มีคำสั่งซื้อ
แนะนำสำหรับคุณ
PRODUCTS
CUSTOMER SERVICE
ABOUT US
PROMOTION
REWARDS
HELPING
Genติดจอ เสี่ยงจอประสาทตาเสื่อมก่อนวัย
Genติดจอ เสี่ยงจอประสาทตาเสื่อมก่อนวัย
             
              ต้องยอมรับแล้วว่า ทุกวันนี้ เราขาดโทรศัพท์มือถือ หรือ smartphone กันแทบไม่ได้เลย ลองสังเกตสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเรามากที่สุดดูสิว่าคืออะไร “โทรศัพท์มือถือใช่หรือไม่” และเป็นพฤติกรรมของกลุ่ม Genติดจอ กลุ่มนี้ไม่ได้จำกัดแค่เจเนอเรชันใดเจเนอเรชันหนึ่ง แต่รวมถึงคนทุกวัยที่ใช้ชีวิตอยู่กับหน้าจออย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมก่อนวัยได้
              ปัจจุบันนี้ เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิต โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถตอบโจทย์ของทุกกิจกรรม ทั้งการติดต่อสื่อสาร ธุรกรรมทางการเงิน ไปจนถึงความบันเทิงหลากหลายรูปแบบ ทำให้ Genติดจอ บางคนมีพฤติกรรมติดมือถือมากจนเกินพอดี มีแนวโนมที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะ “โรคจอประสาทตาเสื่อม” เกิดขึ้นจากอะไร โรคจอประสาทตาเสื่อมอันตรายยังไง โรคจอประสาทตาเสื่อมป้องกันยังไง LiveandFit มีคำตอบ
              Genติดจอ หรือผู้ที่มีพฤติกรรมติดมือถือทุกเพศวัยมักมีโอกาสสัมผัสแสงสีฟ้ามากกว่าผู้ที่ไม่ได้ติดมือถือ เพราะแสงสีฟ้า (Blue Light) มีอยู่ในสิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันรอบตัวเรา เช่น แสงสีฟ้าที่เกิดจากโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ ทีวี และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ

             
             โดยเฉพาะแสงสีฟ้าจากโทรศัพท์มือถือ ที่มีคลื่นรังสีพลังงานสูง (HEV) ชนิดหนึ่ง โดยเป็นสีในสเปกตรัม (แสงที่ดวงตาคนมองเห็นได้) ที่สามารถทะลุผ่านกระจกตา ไปจนถึงจอประสาทตาด้านหลังของดวงตา ที่ประกอบด้วยเซลล์ที่ตอบสนองต่อแสงและเป็นชั้นเนื้อเยื่อที่มีความไวต่อแสงที่ด้านหลังดวงตา ซึ่งมีเซลล์รับแสงเพื่อให้จอประสาทตาส่งสัญญาณภาพไปยังสมองเพื่อทำให้เรามองเห็นภาพได้และก็ทำลายเซลล์รับแสงในดวงตาได้เช่นกัน


             
             
แสงสีฟ้า ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ Genติดจอ เสี่ยงจอประสาทตาเสื่อมก่อนวัยได้
              แสงสีฟ้าสามารถทะลุเข้าไปและทำลายเซลล์รับแสงในดวงตา ตั้งแต่กระจกตา เลนส์ตา จอประสาทตา ที่มีส่วนในการมองเห็น ทำให้เกิดปัญหาภาวะตาอ่อนล้า มีอาการตาแห้ง ปวดตา แสบตา เคืองตา ตาพร่าเบลอ ตาแพ้แสง ไปจนถึงจอประสาทตาเสื่อม ฯลฯ เนื่องจากคลื่นแสงพลังงานสูงของแสงสีฟ้าเหนี่ยวนำให้เกิดการสร้างอนุมูลอิสระในเซลล์ของจอประสาทตา และอนุมูลอิสระก็ทำให้เซลล์ค่อย ๆ เสื่อมลง ส่งผลให้เสี่ยงเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม (Macular degeneration) ได้ [1] [2]
            โรคจอประสาทตาเสื่อม (Macular Degeneration) เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากภาวะจอตาบวมและจุดภาพชัด (Macula) รับคลื่นพลังงานแสงสีฟ้าจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือ โดยไม่ได้ใช้อุปกรณ์อย่างแว่นกรองแสงสีฟ้าถนอมดวงตาเอาไว้ หรือรู้จักวิธีหลีกเลี่ยงแสงสีฟ้าจากหน้าจอมือถือ จึงทำให้เกิดการเสื่อมสภาพของการส่งสัญญาณการมองเห็นไปยังส่วนเส้นประสาทตา เกิดอาการตามัว และการมองเห็นเกิดเสื่อมสภาพไปลงเรื่อย ๆ เช่น เห็นภาพสีเพี้ยน มองไม่ชัด ตาไม่สู้แสง เห็นจุดดำตรงกลางภาพ หากไม่ได้รับการรักษาอาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคตาต่าง ๆ ซึ่งอาจจำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นและตาบอดได้ได้ในที่สุด [3]
           
การทดสอบจอประสาทตาเสื่อมในเบื้องต้น
            ภาวะจอประสาทตาเสื่อมสามารถทดสอบได้ด้วยตารางตรวจจุดภาพชัด หรือ Amsler Grid โดยตารางตรวจจุดภาพชัดนี้ จะเป็นภาพพื้นขาวมีเส้นตารางสีดำ หรือ ภาพพื้นดำมีเส้นตารางสีขาว ที่มีช่องตารางเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสหลายช่อง และจะมีจุดเล็ก ๆ ที่เป็นจุดตัดของเส้นตารางที่กลางภาพ ซึ่งในผู้ที่อาจมีภาวะเสี่ยงว่าจะเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมจะใช้ตารางตรวจจุดภาพชัดทดสอบสายตาดังนี้

              เตรียมรูปตารางตรวจจุดภาพชัด ยืนห่างจากรูปประมาณ 15 นิ้ว ทดสอบดวงตาทีละข้าง ด้วยการปิดตาข้างหนึ่ง แล้วเพ่งมองจุดเล็ก ๆ ตรงกลางภาพด้วยดวงตาอีกข้างหนึ่ง สังเกตการมองเห็น และทำแบบเดียวกันกับดวงตาอีกข้าง
              หากมองเห็นเป็นตารางปกติ ถือว่ายังไม่มีอาการของโรคจอประสาทตาเสื่อม แต่ถ้าเห็นพื้นที่สีดำหรือสีเทาอยู่ตามตาราง หรือตารางบิดเบี้ยวไม่เป็นเส้นตรง หรือลักษณะโค้งงอหรือเป็นระลอกคลื่น และอาการจะเกิดขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่าง กับตาข้างเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้ หากเห็นภาพดังกล่าวจะถือว่ามีอาการของโรคจอประสาทตาเสื่อม ควรรีบไปปรึกษาแพทย์ [4]
             
           
การปกป้องและดูแลดวงตาจากแสงสีฟ้า
            กลุ่มGenติดจอ หรือผู้ที่ใช้สายตาจ้องหน้าจอโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน ควรดูแลปกป้องดวงตาของคุณจากผลกระทบในระยาวที่เกิดจากการสัมผัสแสงสีฟ้า ดังนี้
              1.สวมแว่นตากรองแสงสีฟ้า มีส่วนช่วยกรองแสงสีฟ้าจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือ เพราะตัวแว่นตาจะมีเลนส์ตัดแสงสีฟ้า ช่วยลดการฟุ้งกระเจิงของแสงสีฟ้า ซึ่งอาจจะไม่ได้ช่วยในแง่ของการรักษาโรคตา แต่ช่วยในการป้องกันหรือถนอมดวงตาให้ใช้งานได้ยาวนานและช่วยปกป้องดวงตาจากความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้
              2.พักผ่อนสายตาบ่อย ๆ กลุ่มGenติดจอ ที่ต้องจ้องหน้าจอโทรศัพท์มือถือทั้งวัน ควรดูแลสมองถนอมดวงตาด้วยการใช้สูตร 20–20–20 คือการหาเวลาพักผ่อนสายตาในทุก 20 นาที ด้วยการมองในระยะไกลหรือหันไปหาวิวรอบตัว ประมาณ 20 ฟุต เป็นเวลา 20 วินาที มีส่วนช่วยลดอาการเมื่อยล้าของดวงตาได้            
              3.มีระยะห่างของสายตากับโทรศัพท์มือถือ สำหรับคนที่ต้องใช้สายตาจ้องหน้าจอโทรศัพท์มือถือเป็นประจำ ให้ปรับระยะห่างระหว่างดวงตากับหน้าจอมือถือให้อยู่ประมาณ 25 นิ้ว รวมถึงการเลือกใช้โหมดแสงถนอมสายตา ที่ช่วยลดแสงสีฟ้าในหน้าลง ก็จะช่วยเลี่ยงการเกิดอาการตาล้าได้
              4.แอปกรองแสงสีฟ้า แอปพลิเคชัน (Blue light filter app) สำหรับคนชอบเล่นโทรศัพท์กลางคืน มีส่วนช่วยปรับสีหน้าจอตามแสงสว่างภายนอกโดยอัตโนมัติ เพื่อปกป้องดวงตา เนื่องจากแสงสีฟ้าจากโทรศัพท์มือถืออาจทำให้มีอาการตาล้า ปวดตา และในผู้ที่มีปัญหาการนอนหลับ ซึ่งแอปพลิเคชันสำหรับ iOS และ Android อาทิ Blue Light Filter, Night Light Lite Nightligth มีส่วนช่วยปรับแสงหน้าจอโทรศัพท์มือถือเพื่อลดแสงสีฟ้า ลดอาการปวดตาและแก้ปัญหาการนอนไม่หลับ
              5.ออกแบบแสงสว่างภายในห้อง ควรเลือกแรงวัตต์ของหลอดไฟและจัดวาง (room lighting) ให้ภายในห้องมีระดับแสงรอบตัวที่สม่ำเสมอโดยเฉพาะเวลาใช้อุปกรณ์ดิจิทัล สภาพแวดล้อมของแสงต้องตรงกับความสว่างหน้าจอ เนื่องจากหากแสงสว่างรอบตัวเราต่ำ จะทำให้ดวงตาของคุณรับแสงสีฟ้าเข้ามามากขึ้น
              6.กินอาหารที่มีวิตามินป้องกันจอประสาทตาเสื่อมจากแสงสีฟ้า อาหารที่ดีที่สุดสำหรับดวงตา ก็คือผักผลไม้ที่มีสีสัน โดยเฉพาะผักที่อุดมไปด้วย Phyto หรือ ไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrient) สารอาหารจากพืชโดยตรงที่มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างสุขภาพและป้องกันโรค มีการค้นพบไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrient) มากกว่า 10,000 ชนิด แต่ละชนิดก็มีสรรพคุณต่อสุขภาพแตกต่างกันและแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามโครงสร้างทางเคมี เช่น แคโรทีนอยด์, ฟลาโวนอยด์, แอนโทไซยานิน, แทนนิน ฯลฯ โดยเฉพาะไฟโตนิวเทรียนท์ที่มีสารสำคัญในกลุ่มแคโรทีนอยด์อันทรงพลังอย่าง ลูทีน (Lutein) และ ซีแซนทีน (Zeaxanthin) ถือเป็นสารอาหารสำคัญที่มีส่วนช่วยในการป้องกันโรคตาที่ดีที่สุดและช่วยลดความเสียหายกับดวงตาที่เกิดจากแสงสีฟ้า รวมไปถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีสารอาหารสำคัญเกี่ยวข้องสัมพันธ์เสริมการทำงานของกันและกันของสารลูทีน (Lutein), ซีแซนทีน (Zeaxanthin), มีโซ-ซีแซนทีน (Meso-zeaxanthin), สารอาหารในกลุ่มแอนโทไซยานิน และวิตามินเอ ที่มีส่วนช่วยในการมองเห็น เป็นวิตามินบำรุงสายตาที่ช่วยดูแลปกป้องดวงตาของเรา และมีส่วนช่วยให้เราเพลิดเพลินไปกับโลกดิจิทัลหรือลดความเสี่ยงจากภัยเงียบที่มากับแสงสีฟ้านั่นเอง [3]


            สารอาหารสัมพันธ์ เสริมคุณค่ากันและกัน ช่วยดูแลถนอมดวงตา
            ลูทีน (Lutein), ซีแซนทีน (Zeaxanthin), มีโซ-ซีแซนทีน (Meso-zeaxanthin) เป็นสารอาหารสำคัญในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) ที่พบในดวงตาของคน หรือพบในจุดภาพชัด (Macular Pigment) โดยลูทีน (Lutein), ซีแซนทีน (Zeaxanthin), มีโซ-ซีแซนทีน (Meso-zeaxanthin) มีส่วนช่วยในการกรองแสงสีฟ้าที่มีอยู่ในแสงแดด แสงจากจอคอมพิวเตอร์ จอมือถือ ฯลฯ ซึ่งเป็นแสงที่หลีกเลี่ยงได้ยาก และมีผลการศึกษาที่ได้แสดงให้เห็นว่าลูทีน (Lutein), ซีแซนทีน (Zeaxanthin), มีโซ-ซีแซนทีน (Meso-zeaxanthin)  สามารถบล็อกหรือกรองแสงสีฟ้าไม่ให้เข้าถึงโครงสร้างภายในของดวงตาและเป็นอันตรายต่อจอประสาทตา ทำให้ลดความเสี่ยงจากโรคตาที่เกิดจากแสงสีฟ้า อีกทั้งยังส่งผลดีต่อการมองเห็นที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในที่ที่มีแสงน้อยหรือมีปัญหาเกี่ยวกับการสะท้อนแสง
              ผลการศึกษาและงานวิจัยยังพบว่าลูทีน (Lutein), ซีแซนทีน (Zeaxanthin) มีส่วนช่วยเพิ่มความหนาของพิกเมนต์ในจุดกลางของจอประสาทตา และช่วยลดความเสี่ยงของภาวะจอประสาทตาเสื่อมที่เกี่ยวข้องกับอายุและปรับปรุงการทำงานของการมองเห็นในผู้ที่มีระยะเริ่มต้นของโรคตา
              และในส่วนของมีโซ-ซีแซนทีน (Meso-zeaxanthin) มีส่วนช่วยลดการเกิดอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในดวงตา ลดโอกาสเกิดโรคจุดภาพชัดที่จอตาเสื่อม (Macular Degeneration) ซึ่งเกิดขึ้นตามวัย ซึ่งจากผลการศึกษายังพบว่า มีโซ-ซีแซนทีน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพมาก โดยพบเจอ มีโซ-ซีแซนทีน ในอาหารบางชนิดแต่มีในปริมาณที่น้อยมาก เช่น พบเจอมีโซ-ซีแซนทีนในหนังปลา กระดองกุ้ง และไขมันเต่าทะเลเท่านั้น แต่ด้วยงานวิจัยคุณภาพที่ทำให้สามารถสังเคราะห์ มีโซ-ซีแซนทีน ขึ้นมาจากจากลูทีน (Lutein) และค้นพบสารพฤกษเคมีกลุ่มสารอาหารแคโรทีนอยด์อย่าง มีโซ-ซีแซนทีน, ลูทีน, และซีแซนทีน ในดอกดาวเรือง
             ลูทีน (Lutein) & วิตามินเอ (Vitamin A)
            สารอาหารสำคัญอย่างลูทีน (Lutein) ยังมีความสัมพันธ์กับกับวิตามินเอ และมีความเข้มข้นในจุดกลางของจอประสาทตาและจุดรับภาพ ดังนั้น ลูทีน (Lutein) และ วิตามินเอ (Vitamin A) จึงเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการมองเห็นที่ดี และยังทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อลดความเสียหายจากอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นกับดวงตาอีกด้วย
              ลูทีน และ ซีแซนทีน พบมากในดอกดาวเรือง ผักใบเขียว ข้าวโพด ไข่แดง เป็นต้น โดยเฉพาะในดอกดาวเรือง นิยมนำดอกดาวเรืองมาสกัดเพื่อให้ได้อาหารของดวงตาอย่างลูทีน, ซีแซนทีน
              วิตามิน A ถือเป็นวิตามินบำรุงสายตาที่พบมากในไข่แดง ตับ นม และในพืชผักกลุ่มที่มีสารแคโรทีนอยด์ ได้แก่ ผักใบเขียวเข้มและผลไม้สีเหลือง สีส้ม เช่น แครอท ฟักทอง มันเทศ และมะละกอสุก เป็นต้น
              สารแอนโทไซยานิน
              แอนโทไซยานิน (Anthocyanins) เป็นสารอาหารที่มีคุณสมบัติเป็นต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพสูง โดย แอนโทไซยานิน (Anthocyanins) เป็นสารไฟโตนิวเทรียนท์ที่ทำให้เกิด สีแดง สีม่วง สีน้ำเงิน ในพืช เช่น หอมแดง กะหล่ำปลีม่วง มะเขือเทศ และในผลไม้ อย่าง แบลคเคอร์แรนท์, สตรอว์เบอรี, บิลเบอร์รี่ (Bilberry) รวมทั้งธัญพืชและถั่วที่มีสีเข้ม แต่จะพบปริมาณของสารแอนโทไซยานินในบิลเบอร์รี (Bilberry) มากกว่าผักและผลไม้อื่น ๆ
              จากข้อมูลด้านโภชนาการ จะเห็นได้ว่า บิลเบอร์รี (Bilberry) เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง การกินผลบิลเบอร์รี (Bilberry) หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีสารสกัดจากบิลเบอร์รี (Bilberry) จะมีสุขภาพที่ดี ห่างไกลจากโรคเรื้อรังต่างๆ และมีส่วนช่วยบำรุงสายตา ลดอาการตาล้า มีส่วนช่วยทำให้มองเห็นในเวลากลางคืนได้ดี ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคตาชนิดต่างๆ ได้
              การปกป้องดวงตาของเราจากผลกระทบที่เป็นอันตรายจากแสงสีฟ้าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษาสุขภาพดวงตาที่ดี และสารอาหารที่กล่าวถึงข้างต้นนั้น ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถปรับปรุงการทำงานของดวงตา มีส่วนช่วยในการมองเห็น ลดความเสี่ยงของการเสื่อมสภาพขอจอประสาทตาที่เกี่ยวข้องกับอายุได้ดีอีกด้วย


ที่มา:
[1] https://www.healthline.com/health/what-is-blue-light#is-blue-light-bad-for-your-eyes
แสงสีฟ้าคืออะไร และส่งผลต่อดวงตาของเราอย่างไร?
[2] https://health.ucdavis.edu/blog/cultivating-health/blue-light-effects-on-your-eyes-sleep-and-health/2022/08  แสงสีฟ้าส่งผลต่อดวงตา การนอนหลับ และสุขภาพของคุณอย่างไร
[3] https://www.liveandfit.com/th/blog/แสงสีฟ้าภัยเงียบที่เสี่ยงต่อโรคตา-ป้องกันและรับมือได้อย่างไร  แสงสีฟ้าภัยเงียบที่เสี่ยงต่อโรคตา ป้องกันและรับมือได้อย่างไร?
[4] https://www.liveandfit.com/th/blog/9-วิตามินบำรุงสายตาทางงานวิจัยที่คุณห้ามพลาดในปี2025
https://www.healthline.com/health/what-is-blue-light#is-blue-light-bad-for-your-eyes

 
แชทผ่านไลน์ @Liveandfit