สมัครสมาชิก / เข้าสู่ระบบ
หรือ
หากคุณยังไม่ได้เป็นสมาชิกกับเรา !
การดำเนินการต่อถือว่าคุณยอมรับ
ข้อกำหนดและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว
เราอาจส่งข่าวสารให้ท่าน ท่านสามารถปิดการรับข่าวสาร
ได้โดยเปลี่ยนการตั้งค่าในบัญชีของท่าน
เราจะไม่ส่งข่าวสารโดยไม่ได้รับอนุญาตจากท่าน
สมัครสมาชิก / เข้าสู่ระบบ
หากคุณยังไม่ได้เป็นสมาชิกกับเรา !
หรือเข้าสู่ระบบด้วย
หรือ
สั่งซื้อทันทีโดยไม่สมัครสมาชิก
การดำเนินการต่อถือว่าคุณยอมรับ
ข้อกำหนดและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว
เราอาจส่งข่าวสารให้ท่าน ท่านสามารถปิดการรับข่าวสาร
ได้โดยเปลี่ยนการตั้งค่าในบัญชีของท่าน
เราจะไม่ส่งข่าวสารโดยไม่ได้รับอนุญาตจากท่าน
ตะกร้าสินค้า
รายการสินค้าที่สั่งซื้อ
ยังไม่มีคำสั่งซื้อ
แนะนำสำหรับคุณ
PRODUCTS
CUSTOMER SERVICE
ABOUT US
PROMOTION
REWARDS
HELPING
9 วิตามินบำรุงสายตาทางงานวิจัยที่คุณห้ามพลาดในปี 2025
9 วิตามินบำรุงสายตาทางงานวิจัยที่คุณห้ามพลาดในปี 2025

“ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ” ที่สามารถสื่อสารอารมณ์ความรู้สึกได้มากมายทั้งการบอกรัก ฟ้องว่ากำลังเศร้า เหงา สุข หรือ ทุกข์ ก็บอกได้ด้วยดวงตา แต่จริง ๆ แล้ว “ดวงตาเป็นมากกว่าหน้าต่างของหัวใจ” เพราะเป็นหนึ่งในอวัยวะสำคัญที่มีบทบาทและคุณค่ามากมายต่อสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะมนุษย์เราทุกคน โดย 70 – 80% ของการดำเนินชีวิตและวิถีการเรียนรู้หรือรับรู้นั้นล้วนได้มาจากการมองเห็นของดวงตา ซึ่งถ้าหากขาดดวงตาไป หรือจอประสาทตาเสื่อม ดวงตามีการมองเห็นที่ไม่สมบูรณ์ หรือเป็นโรคตา เราคงมีวิถีการใช้ชีวิตที่แสนยากลำบากมากเลยทีเดียว

เพราะดวงตาเป็นอวัยวะที่เปราะบาง เสียหายง่าย และเสี่ยงต่อการเสื่อมสภาพจากหลายปัจจัย เช่น การติดมือถือ ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ การเผชิญกับแสงแดดและแสงไฟจากอุปกรณ์ส่องสว่างที่มากเกินไป อยู่กลางแจ้งที่ต้องพบเจอแสงแดด ความร้อน เผชิญกับมลภาวะเป็นพิษ รวมไปถึงฝุ่นและควัน ฯลฯ ที่มีความสามารถในการทำลายระบบการมองเห็นของดวงตาได้ทั้งสิ้น [1] [2] [3]

ปัญหาที่เกิดขึ้นกับดวงตาและโรคตาที่พบบ่อยที่สุด

ปัญหาที่เกิดขึ้นกับดวงตาที่พบได้บ่อยที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องการมองเห็นไม่ชัดเจนจากความผิดปกติของกระจกตา เช่น การมีปัญหาในเรื่องของสายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง รวมไปถึงความเปลี่ยนแปลงของระดับสายตาในผู้สูงวัย ซึ่งในผู้ที่มีปัญหาทางสายตาเหล่านี้มักแก้ไขปัญหาด้วยการสวมใส่แว่นสายตา แต่ความเปลี่ยนแปลงของการมองเห็นที่เกี่ยวกับโรคตา ไม่ได้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับสายตานั้นจะไม่สามารถแก้ไขด้วยแว่นสายตาได้ โดยโรคตาที่พบบ่อยที่สุดได้แก่

ตาแห้ง
ตาแห้ง (Dry Eyes) เป็นโรคตาที่พบได้บ่อยในกลุ่มคนวัยทำงานและกลุ่มสูงวัยที่มักจะมีอาการไม่สบายตา ระคายเคืองตาเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในตา มีอาการตาแห้ง แสบตา หรือในบางคนอาจมีน้ำตาไหลก็ได้
  • ตาแห้ง เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การสัมผัสแสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือใช้โทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน, การใส่คอนแทคเลนส์ (Contact Lens), การทำงานผิดปกติของต่อมไขมันที่เปลือกตา (Meibomian Gland Dysfunction) หรือการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หรือผลค้างเคียงจากการกินยาบางชนิด ซึ่งหากปล่อยเอาไว้เนิ่นนานและไม่ได้ทำการรักษาอย่างจริงจัง อาจทำให้ดวงตามีการมองเห็นที่มัวลง และอาจมีอาการอักเสบของเยื่อบุตาหรือกระจกตาร่วมด้วย
  • การรักษาตาแห้งนั้นขึ้นอยู่กับสาเหตุ อาจต้องมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต พฤติกรรมการใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และมือถือ และมักมีการใช้น้ำตาเทียมร่วมอยู่ด้วยในการบรรเทาหรือรักษาอาการตาแห้ง หรือประคบอุ่น นวดและทำความสะอาดเปลือกตากรณีที่เปลือกตามีความผิดปกติ และสามารถเข้ารับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดโดยจักษุแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ [8]


จอประสาทตาเสื่อม

โดยปกติแล้วจอประสาทตาจะทำหน้าที่รับภาพได้ดี แต่เมื่ออายุอยู่ในช่วงวัย 40 ปี ขึ้นไป จอประสาทตาจะเริ่มเกิดภาวะเซลล์เสื่อมในส่วนของเซลล์รับภาพของดวงตา หรือถูกทำลายไปเอง และเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมในบางคน หรือโรคจุดรับภาพเสื่อม (Age – Related Macular Degeneration: AMD) ที่เกิดจากการเสื่อมตามอายุ ในอัตราที่ไม่สม่ำเสมอ ขึ้นอยู่กับวิถีการดำเนินชีวิตประจำวันของแต่ละคน เช่น การทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ การใช้แท็บเล็ต โทรศัพท์มือถือ การสัมผัสกับมลภาวะ ฝุ่น ควัน ความร้อนจากแสงแดด และอาจมีความร้ายแรงถึงขั้นสูญเสียการมองเห็น

มีผลการศึกษาและวิจัยทางการแพทย์พบว่า การสัมผัสกับแสงสีฟ้าเป็นเวลานาน คือภัยเงียบที่กำลังทำลายเซลล์ต่าง ๆ ในดวงตา โดยแสงสีฟ้า (blue light) เป็นรังสีความยาวคลื่นที่ตามองเห็นได้ สามารถประกอบกับความยาวคลื่นแสงสีอื่น ๆ เช่น แสงจากจอ LED จอคอมพิวเตอร์ จอโทรศัพท์มือถือ และแสงไฟนีออนตามบ้านเรือน เป็นต้น เนื่องจากแสงสีฟ้าเป็นคลื่นแสงพลังงานสูงเหนี่ยวนำให้เกิดการสร้างอนุมูลอิสระ (Free Radical) ในเซลล์ของจอประสาทตา และทำให้เซลล์ค่อย ๆ เสื่อมลง ส่งผลให้มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมและโรคตาอื่น ๆ ได้ ซึ่งในผู้หญิงจะมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมมากกว่าผู้ชาย และภาวะจอประสาทตาเสื่อมก็ยังสามารถเกิดขึ้นในผู้ที่อายุน้อยได้อีกด้วย อีกทั้งภาวะจอประสาทตาเสื่อมถือเป็นเป็นโรคทางพันธุกรรมอย่างหนึ่ง และสามารถแสดงอาการได้ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงช่วงอายุ 20 ปี ส่วนจอประสาทตาเสื่อมที่พบในช่วงอายุ 30 - 40 ปีนั้นอาจเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมบวกกับอายุที่มากขึ้นที่มีการเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ ที่อยู่ในดวงตาและจากปัจจัยอื่น ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นได้เช่นกัน [4] [5]

โดยการสังเกตในผู้ที่กำลังมีภาวะของจอประสาทตาเสื่อมจะมีลักษณะของการมองภาพไม่ชัด มีการมองเห็นที่แย่ลงเรื่อย ๆ หรือมีการมองเห็นที่เป็นภาพบิดเบี้ยว รู้สึกตาพร่ามัว มองเห็นสีได้น้อยลง มีจุดดำหรือเงาตรงกลางภาพ การมองเห็นช่วงกลางภาพหายไป เมื่อถึงจุดหนึ่งจะสูญเสียการมองเห็นส่วนใหญ่ไปในที่สุด

การทดสอบจอประสาทตาเสื่อมในเบื้องต้น
ภาวะจอประสาทตาเสื่อมสามารถทดสอบได้ด้วยตารางตรวจจุดภาพชัด หรือ Amsler Grid โดยตารางตรวจจุดภาพชัดนี้ จะเป็นภาพพื้นขาวมีเส้นตารางสีดำ หรือ ภาพพื้นดำมีเส้นตารางสีขาว ที่มีช่องตารางเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสหลายช่อง และจะมีจุดเล็ก ๆ ที่เป็นจุดตัดของเส้นตารางที่กลางภาพ ซึ่งในผู้ที่อาจมีภาวะเสี่ยงว่าจะเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมจะใช้ตารางตรวจจุดภาพชัดทดสอบสายตาดังนี้



เตรียมรูปตารางตรวจจุดภาพชัด ยืนห่างจากรูปประมาณ 15 นิ้ว ทดสอบดวงตาทีละข้าง ด้วยการปิดตาข้างหนึ่ง แล้วเพ่งมองจุดเล็ก ๆ ตรงกลางภาพด้วยดวงตาอีกข้างหนึ่ง สังเกตการมองเห็น และทำแบบเดียวกันกับดวงตาอีกข้าง [9] [10]

หากมองเห็นเป็นตารางปกติ ถือว่ายังไม่มีอาการของโรคจอประสาทตาเสื่อม แต่ถ้าเห็นพื้นที่สีดำหรือสีเทาอยู่ตามตาราง หรือตารางบิดเบี้ยวไม่เป็นเส้นตรง หรือลักษณะโค้งงอหรือเป็นระลอกคลื่น และอาการจะเกิดขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่าง กับตาข้างเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้ หากเห็นภาพดังกล่าวจะถือว่ามีอาการของโรคจอประสาทตาเสื่อม ควรรีบไปปรึกษาแพทย์

ภาวะจอประสาทตาเสื่อมนี้เป็นโรคตาที่ต้องรีบทำการรักษากับจักษุแพทย์โดยเร็วเพื่อดูแลรักษาและช่วยควบคุมไม่ให้การมองเห็นแย่ลงจนรบกวนคุณภาพชีวิต ที่น่าเป็นห่วงคือในปัจจุบันนี้ยังไม่มีวิธีการรักษาจอประสาทตาเสื่อมให้หายขาดได้ แต่ก็สามารถดูแลรัษาเพื่อชะลอการเกิดภาวะเซลล์เสื่อมในดวงตาหรือป้องกันไม่ให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมช้าที่สุด ให้เราสามารถใช้งานดวงตานานขึ้นได้

และทำความเข้าใจและรู้เท่าทันภัยเงียบต่าง ๆ ทำให้เราสามารถดูแลปกป้องดวงตาของเราจากภาวะจอประสาทตาเสื่อมและโรคตาบางโรคได้ หากคุณเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงสูง ตามที่กล่าวมาข้างต้น เช่น เป็นผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป เป็นผู้ที่คนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม เป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับปัจจัยเสี่ยง เช่น เป็นผู้ที่ติดมือถือ ติดโซเชียล ติดเกม ทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน เป็นผู้ที่ต้องเผชิญกับแสงแดด ความร้อน และแสงไฟจากอุปกรณ์ส่องสว่างเป็นเวลานาน ต้องพบเจอกับมลภาวะเป็นพิษ รวมไปถึงฝุ่นและควัน ควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อตรวจดวงตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เสี่ยงต่อการทำร้ายดวงตา และกินอาหารที่เต็มไปด้วยสารอาหารที่มีคุณประโยชน์ต่อดวงตา อุดมไปด้วยวิตามินบำรุงสายตา เพื่อปกป้องดูแลดวงตา ชะลอการเกิดภาวะของโรคจอประสาทตาเสื่อมไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เป็นการดีที่สุด [8]



9 วิตามินบำรุงสายตาทางงานวิจัยที่คุณห้ามพลาดในปี 2025
จากเหตุและผลข้างต้นที่มีส่วนทำให้ทุกคนได้ตระหนักถึงความสำคัญของการปกป้องดูแลรักษาดวงตา จึงทำให้วิตามินบำรุงสายตากลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญติดเทรนด์ฮิตของสายเฮลตี้ โดยพบว่าวิตามินบำรุงสายตาก็มีอยู่ในอาหารที่เรากินอยู่ทุกวัน แต่เราอาจจะกินได้น้อยหรือไม่ชอบกินอาหารชนิดนั้น ๆ หรืออาหารบางชนิดที่มีวิตามินบำรุงสายตาก็อาจไม่ได้มีในท้องถิ่นที่เราอาศัยอยู่หรือเรียกได้ว่าหากินยากนั่นเอง

ดังนั้น ใครที่กำลังมองหาวิตามินบำรุงสายตาไว้ดูแลปกป้องดวงตา โดยเฉพาะผู้ที่ต้องใช้สายตาอย่างหนักทุกวัน ต้องทำความรู้จักกับ 9วิตามินบำรุงสายตาทางงานวิจัยที่คุณห้ามพลาดในปี2025 ที่จำเป็นต่อระบบประสาทตาและมีส่วนช่วยในการมองเห็น ดังนี้

1. ลูทีน (Lutein)
ลูทีน (Lutein) คือสารอาหารสำคัญในกลุ่มแคโรทีนอยด์  (Carotenoids) ที่พบได้ในดวงตาคน อยู่ด้านข้างของจุดรับภาพ  (peripheral macula) ช่วยกรองแสงสีฟ้าที่มีอยู่ทั้งในแสงแดด แสงจากจอคอมพิวเตอร์ แสงจากโทรทัศน์ แสงจากหลอดไฟ ซึ่งเป็นแสงที่หลีกเลี่ยงได้ยากและเป็นอันตรายที่อาจทำให้จอประสาทตาเสื่อม

ลูทีน (Lutein) ยังทำหน้าที่เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระในดวงตาของคนเราอีกด้วย เพราะในดวงตาจะมีสารอนุมูลอิสระอยู่เป็นจำนวนมากที่เป็นตัวทำลายเซลล์รับภาพ และทำให้เกิดโรคตาและโรคที่เกี่ยวกับจอประสาทตาเสื่อมได้ [11] [14]



2. ซีแซนทีน (Zeaxanthin) 
เป็นสารย่อยในกลุ่มของสารแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) เช่นกันที่อยู่ใจกลางของด้านข้างของจุดรับภาพ (mid-peripheral macula) ทำหน้าที่กรองแสงที่จะผ่านเข้าสู่จอตา มีส่วนช่วยลดการสะท้อนของแสง ป้องกันรังสียูวีจากแสงอาทิตย์ที่เป็นอันตรายต่อดวงตา ทำให้มีคุณสมบัติของการช่วยป้องกันโรคหลายชนิด เช่น โรคจอรับภาพเสื่อม จอประสาทตาเสื่อม โรคต้อกระจก โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นต้น [11] [14]

3. มีโซ-ซีแซนทีน (Meso-zeaxanthin)
เป็นสารแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) อีกเช่นกันที่พบในส่วนกลางของจุดรับภาพ (epicenter macula) โดยที่มีโซ-ซีแซนทีนนั้นมีส่วนช่วยลดการเกิดอนุมูลอิสระ ลดโอกาสการเกิดของกลุ่มโรคที่เกิดจากการเสื่อมของบริเวณจุดภาพชัดของจอตา (Macular Degeneration) ซึ่งเป็นโรคที่เกิดขึ้นตามช่วงอายุของวัยที่มีส่วนทำให้สูญเสียการมองเห็นส่วนกลางของภาพ และมีโซ-ซีแซนทีน ยังมีส่วนช่วยกรองแสงสีฟ้าในจอตาได้อีกด้วย ซึ่งมีผลการศึกษาพบว่า มีโซ-ซีแซนทีน คือสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณภาพสูงมาก แต่มีโซ-ซีแซนทีนนั้นต้องถูกสังเคราะห์ขึ้นมาจากจากลูทีน หรือมีการพบเจอมีโซ-ซีแซนทีนในอาหารบางชนิดแต่ก็มีในปริมาณที่น้อยมาก เช่น พบเจอมีโซ-ซีแซนทีนในกระดองกุ้ง หนังปลา และไขมันเต่าทะเลเท่านั้น

แต่เนื่องด้วยช่วงอายุของคนเราที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งการใช้ชีวิตประจำวันที่ต้องเสี่ยงต่อการเสื่อมสภาพของดวงตาจากการทำงานมากขึ้น เช่น การทำงานที่ต้องอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ รวมไปถึงพฤติกรรมการใช้หรือเล่นมือถือ แท็บเล็ต และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ที่ทำให้ดวงตาต้องสัมผัสกับ Blue Light หรือ แสงสีฟ้า คลื่นพลังงานที่มากับแสงจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และมีพลังงานสูงใกล้เคียงกับรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ที่มีส่วนในการทำลายเซลล์รับแสงในดวงตา ตั้งแต่กระจกตา เลนส์ตา จอประสาทตา และทำให้ภาวะของระดับสารแคโรทีนอยด์ต่ำ ปริมาณของลูทีน (Lutein), ซีแซนทิน (Zeaxanthin), มีโซ-ซีแซนทีน (Meso-zeaxanthin) ในดวงตาลดลง และมีความเสี่ยงสูงมากต่อการเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม
 
โภชนาการระดับเซลล์จึงมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพของดวงตา
เพราะมีการค้นพบสารอาหารสำคัญที่พบได้เฉพาะในพืชผักและผลไม้ ซึ่งไม่ใช่สารอาหารหลักที่จำเป็นต่อร่างกายเหมือนกับโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน แต่มีบทบาทสำคัญในการสร้างเสริมสุขภาพและมีส่วนช่วยป้องกันโรค ได้แก่ สารพฤกษเคมีที่ชื่อ ไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrient)



Phyto หมายถึง พืช ไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrient) คือสารอาหารจากพืชโดยตรง หรือสารพฤษเคมีที่พบได้เฉพาะในพืช ผัก ผลไม้ การศึกษาเชิงระบาดวิทยาหลายฉบับได้แสดงให้เห็นว่า การบริโภคผลิตภัณฑ์จากพืชในปริมาณสูงมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่ลดลงของโรคเรื้อรังและอัตราการเสียชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบทบาทของสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant)

ไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrient) มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างสุขภาพและป้องกันโรค โดยไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrient) เป็นสารที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพ มีการค้นพบไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrient) มากกว่า 10,000 ชนิด และไฟโตนิวเทรียนท์แต่ละชนิดก็มีสรรพคุณต่อสุขภาพแตกต่างกันไป โดยเฉพาะไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrient) ที่มีบทบาทของสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันเซลล์ โดยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ด้วยเพราะว่าอนุมูลอิสระเป็นโมเลกุลที่ไม่เสถียรที่สร้างความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสียหายของเซลล์และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น มะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด และเบาหวาน

ไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrient) สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามโครงสร้างทางเคมีและคุณสมบัติต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วย แคโรทีนอยด์ ฟลาโวนอยด์ ไฟโตเอสโตรเจน กลูโคซิโนเลตส์ กรดเอลลาจิ เรสเวอราทรอล เป็นต้น

โดยเฉพาะสารอาหารกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) เป็นกลุ่มสารอาหารขนาดใหญ่ที่ยังสามารถแบ่งออกได้อีกกว่า 600 ชนิดย่อย แต่ชนิดของกลุ่มสารอาหารที่คุ้นหูกันก็คือกลุ่มของสาร ลูทีน (Lutein), ซีแซนทิน (Zeaxanthin) ที่มีอยู่ในผักใบเขียว เช่น ผักคะน้า ผักโขม ผักกาด โหระพา หน่อไม้ฝรั่ง กะหล่ำดาว บรอคโคลี ต้นกระเทียม และยังพบลูทีน (Lutein), ซีแซนทิน (Zeaxanthin) ในถั่วต่าง ๆ เช่น ถั่วลันเตา ถั่วแระ ถั่วพิสตาชิโอ พริกสด พริกแห้ง ฟักทอง แครอท ไข่แดง และข้าวโพด นอกจากนี้ ดอกดาวเรือง ก็ยังอุดมไปด้วยลูทีน (Lutein), ซีแซนทิน (Zeaxanthin) และมีการพัฒนาสูตรสู่การเป็นสารสกัดดอกดาวเรือง วิตามินบำรุงสายตา โดยถูกนำไปใช้เพื่อสร้างเซลล์ใหม่ ทดแทนเซลล์ที่ตายหรือเสียหายไป

มีงานวิจัยที่ทำการศึกษาในเรื่องของปัญหาโรคจอประสาทตาเสื่อมนี้และพบว่าโภชนาการสําคัญต่อสุขภาพของดวงตาจริง ๆ โดยเฉพาะวิตามินบำรุงสายตาที่มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ เนื่องจากเนื้อเยื่อจอประสาทตาหรือเรตินา (retina) มีระดับเมตาบอลิซึมที่สูงมาก จึงมีความต้องการออกซิเจนสูงและเนื่องจากโครงสร้างของเรตินาอุดมไปด้วยกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว (polyunsaturated fatty acid) จึงทําให้มีสภาพแวดล้อมที่ไวต่อปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ทำให้การเลือกวิตามินบำรุงสายตาที่เป็นสารอาหารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ เช่น ลูทีน (lutein) ซีแซนทีน (zeaxanthin), มีโซ-ซีแซนทีน (Meso-zeaxanthin) คือโภชนาการที่เข้าถึงระดับเซลล์และมีส่วนสําคัญในการปกป้องดวงตาของเรา
มีผลการศึกษาของ The Health Professionals Follow-up Study และ The Nurses' HealthStudy ได้ศึกษาพฤติกรรมสุขภาพ การบริโภคอาหาร และภาวะสุขภาพในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์และกลุ่มพยาบาลที่มีช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป จํานวน 102,046 คน เฝ้าติดตามกลุ่มตัวอย่างเป็นเวลา 24 ปี และ 26 ปี ตามลําดับ ผลการศึกษาพบว่า เมื่อแบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 5 กลุ่มโดยจัดกลุ่มตามการบริโภคอาหารที่มีลูทีนและซีแซนทีนสูง เรียงตามลําดับจากมากไปหาน้อย โดยกลุ่มที่มีการบริโภคอาหารที่มีลูทีน (Lutein), ซีแซนทิน (Zeaxanthin) สูง มากที่สุด มีความเสี่ยงของการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม หรือโรคจุดรับภาพเสื่อม ลดลงร้อยละ 40 เมื่อเปรียบเทียบ กับกลุ่มที่มีการบริโภคอาหารที่มีลูทีน (Lutein), ซีแซนทิน (Zeaxanthin) ต่ำที่สุด [14]

ไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrient) กลุ่มแคโรทีนอยด์บางชนิดเมื่อเข้าสู่ร่างกาย ร่างกายจะทำการย่อยและแปลงสารอาหารเหล่านี้ให้ไปเป็นวิตามินเอ ที่ถือเป็นสารอนุมูลอิสระที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกายและมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคตาและโรคจอประสาทตาเสื่อมจากอายุ (Age-Related Macular Disease: AMD) โดยช่วยชะลอและยับยั้งการเสื่อมของเซลล์ อีกทั้งสารลูทีนและซีแซนทีนเป็นสารไฟโตนิวเทรียนท์ที่มักถูกนำมาศึกษาเกี่ยวกับสุขภาพดวงตาอยู่บ่อย ๆ เนื่องจากมีส่วนช่วยป้องกันจอประสาทตาเสื่อม

ไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrient) ไม่เพียงแต่ช่วยต้านอนุมูลอิสระเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นสารต้านการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคเรื้อรัง รวมทั้งส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ทำให้ร่างกายสามารถต้านทานเชื้อโรคได้ดีขึ้น และไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrient) บางประเภท เช่น กลูโคซิโนเลต (glucosinolates) มีคุณสมบัติในการป้องกันการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้  และการบริโภคอาหารที่มีไฟโตนิวเทรียนท์สูง ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด

เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจาก ไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrient) และเสริมสร้างสุขภาพของดวงตา ควรบริโภคพืชผักและผลไม้หลายชนิดและหลากสีเป็นประจำ ช่วยเสริมสร้างสุขภาพดวงตาและป้องกันโรคเรื้อรังต่าง ๆ การกินอาหารที่หลากหลายและสมดุลในแต่ละวันจะช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุดจากไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrient) เช่น...
  • ผักและผลไม้สีแดง, ส้ม และเหลือง จำพวก มะเขือเทศ, พีช, แตงโม, พริก, ผลไม้ตระกูลส้ม, แครอท, ฟักทอง, มะม่วง, เมลอน เป็นต้น
  • ผักใบเขียวเข้ม จำพวก ผักคะน้า, ผักโขม, ผักกวางตุ้ง, บรอกโคลี เป็นต้น
  • ผลไม้สีม่วงและน้ำเงิน จำพวก ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่, องุ่น, พลัม เป็นต้น
  • ผลิตภัณฑ์จากธัญพืช จำพวก ข้าวกล้อง, ข้าวบาร์เลย์, ข้าวสาลี, คีนัว และซีเรียลที่ทำจากธัญพืชเต็มเมล็ด
  • ถั่วและเมล็ดพืช จำพวก วอลนัท, อัลมอนด์, เมล็ดทานตะวัน, งา และเมล็ดแฟลกซ์
  • พืชตระกูลถั่ว จำพวก ถั่วแห้ง, ถั่วลันเตา, ถั่วเลนทิล, ถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง
  • เครื่องเทศและสมุนไพรไทย จำพวก กระเทียม, หอมแดง, ต้นหอม, ขิง, ขมิ้น

นอกจากนี้ การพิจารณาเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrient) เป็นส่วนประกอบ อาจเป็นทางเลือกที่ดีในการเสริมสร้างสุขภาพดวงตาให้ดียิ่งขึ้น [6] [7] [12] [13]



4. แอนโทไซยานิน (Anthocyanins)
แอนโทไซยานิน (Anthocyanins) ถูกยกให้เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณภาพสูงและมีส่วนช่วยในการดูแลปกป้องดวงตาของมนุษย์ โดยแอนโทไซยานินนั้นเป็นสารที่ให้สีม่วง สีแดง สีน้ำเงิน ในพืชผัก เช่น ข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วง, มันเลือดไก่, กะหล่ำปลีม่วง, มะเขือเทศ, มะเขือม่วง, มันม่วง, ในผลไม้ เช่น บิลเบอร์รี่ (Bilberry), แบลคเคอร์แรนท์, สตรอว์เบอรี รวมทั้งธัญพืชและถั่วที่มีสีเข้ม แต่จะพบสารแอนโทไซยานินในบิลเบอร์รี่ (Bilberry) สูงมากเมื่อเทียบกับผักและผลไม้อื่น ๆ [15]

แอนโทไซยานิน (Anthocyanin) เป็นสารโพลีฟีนอลชนิดหนึ่งที่จัดอยู่ในกลุ่มของสารฟลาโวนอยด์ ที่มีคุณสมบัติเป็นโภชนเภสัชที่มาแรงรับเทรนด์สุขภาพ (โภชนเภสัช การดูแลสุขภาพโดยการบริโภคอาหารที่มีส่วนผสมหลักจากธรรมชาติแต่มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพในด้านของการป้องกันรักษาโรค รวมถึงการชะลอวัย) โดยแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยป้องกันไม่ให้อนุมูลอิสระไปทำลายเซลล์ ชะลอความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย ช่วยยับยั้งไม่ให้เลือดจับกันเป็นก้อน ช่วยในการหมุนเวียนของกระแสโลหิต จึงช่วยลดอัตราการเกิดโรคหัวใจ เส้นเลือดอุดตันในสมอง ช่วยยับยั้งจุลินทรีย์ก่อโรค (pathogen) อีโคไล (Escherichia coli) ในระบบทางเดินอาหาร สร้างภูมิคุ้มกัน และต้านมะเร็ง [16] [17] [18]

จากงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแอนโทไซยานิน พบว่าสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) มีส่วนช่วยในการมองเห็นในที่มืดหรือในที่ที่มีแสงน้อย, มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม และมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดต้อกระจก โดยจุดเด่นของสารแอนโทไซยานินในเรื่องของการเป็นวิตามินบำรุงสายตานั้น มีดังต่อไปนี้
  • ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังหลอดเลือดที่ดวงตา ช่วยเพิ่มการมองเห็นในที่มืด โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการตาบอดกลางคืน (night blindness) สายตาสั้น และดวงตาอ่อนล้าจากการใช้งานมากเกินไป
  • ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเอนไซม์หลายชนิดที่อยู่ภายในจอประสาทตา (retina) ทำให้มองเห็นภาพชัดเจนขึ้น
  • ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายต่อดวงตาของผู้ที่ต้องเผชิญกับแสงแดดที่ร้อนแรง ซึ่งสามารถทำลายจอประสาทตาจนเสี่ยงที่จะทำให้ตาบอดได้

โดยปริมาณของแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) จะสัมพันธ์กับพืชผักผลไม้ที่มีสีม่วงแดง โดยเฉพาะผลไม้ตระกูลบิลเบอร์รีที่มีสีม่วงแดงจนไปถึงน้ำเงินเข้ม ยิ่งแสดงว่ามีปริมาณแอนโทไซยานินสูง และแอนโทไซยานินจะถูกดูดซึมไปยังเซลล์ตาในรูปของมาลวิดิน ไกลโคไซด์ (Mulvidin glycosides) มีการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่า หลังจากให้กินแอนโทไซยานินเสริมจะสามารถตรวจพบแอนโทไซยานินได้ที่ส่วนของกระจกตา เลนส์ตา จอประสาทตา จึงเป็นการพิสูจน์ว่า เมื่อรับประทานผลไม้ตระกูลเบอร์รี่จึงให้คุณประโยชน์โดยตรงในการปกป้องดวงตา [20] [21]



5. เบต้า-แคโรทีน (beta-Carotene)
เบต้า-แคโรทีน (beta-Carotene) คือสารพฤกษเคมี หรือไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrients) ชนิดหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มของสารแคโรทีนอยด์ที่ถือว่าเป็นสารสำคัญของพืชที่มีสี ที่สำคัญเบต้า-แคโรทีนถือเป็นหนึ่งในสารตั้งต้นของวิตามินเอ (โปรวิตามินเอ) หรือสามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ที่ผนังลําไส้เล็ก ตับ ไต และจึงค่อย ๆ ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายกลายเป็นวิตามินบำรุงสายตาคุณภาพดี โดยร่างกายจะนำไปใช้สร้างสารโรดอปซิน (rhodopsin) ในดวงตาส่วนเรตินา มีส่วนทำให้ดวงตามีความสามารถในการมองเห็นในตอนกลางคืนได้ และยังมีส่วนช่วยลดความเสื่อมของเซลล์ในดวงตา ลดความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจก ลดความเสี่ยงของภาวะจอประสาทตาเสื่อมอีกด้วย [24] [25]

เบต้า-แคโรทีน (beta-carotene) ที่นอกจะมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ตามปริมาณที่ร่างกายต้องการแล้ว เบต้า-แคโรทีน (beta-carotene) ยังทำหน้าที่เสมือนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีส่วนลดความเสื่อมของเซลล์จากอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความแก่ ชะลอความเสื่อมของสมองและความจำ ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด ดูแลรักษาผิวพรรณ ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด อีกทั้งยังพบว่าเบต้า-แคโรทีน ให้ผลกระตุ้นเซลล์ภูมิต้านทานในร่างกายที่ชื่อที-เฮลเปอร์ให้ทำงานต้านสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น จึงส่งผลดีต่อผู้ที่มีความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง และมีส่วนช่วยป้องกันโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งกระเพาะอาหารได้อีกด้วย [25]

เบต้า-แคโรทีน (beta-carotene) มีอยู่ในผักและผลไม้ที่มีสีส้ม สีเหลือง เช่น ฟักทอง แคร์รอต แคนตาลูป มะละกอสุก มะม่วงสุก และสามารถพบ เบต้า-แคโรทีน (beta-carotene) ได้ในผักและผลไม้ที่มีสีเขียวเข้ม เช่น บรอกโคลี ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง ปวยเล้ง เป็นต้น


6. วิตามินเอ (Vitamin A)
วิตามินเอ (Vitamin A) ถือเป็นดาวดังของวงการวิตามินบำรุงสายตาที่มีส่วนช่วยคงสภาพปกติของการมองเห็น และมีส่วนช่วยในการมองเห็นในที่สลัว หากขาดวิตามินเอ (Vitamin A) อาจทําให้เกิดอาการทางตาที่เรียกว่า ซีรอฟทาลเมีย (Xerophthalmia) โดยในระยะแรกมีอาการตาบอดกลางคืน เยื่อบุตาขาวแห้ง กระจกตาแห้ง กระจกตาเป็นแผลและกระจกตาขุ่นเหลว แต่ถ้าการขาดวิตามินเอมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นและไม่ได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน อาจทําให้เสี่ยงต่อการตาบอดได้
  • วิตามินเอ (Vitamin A) เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน และจะไปสะสมอยู่ในตับของคนเรา เมื่อร่างกายต้องการวิตามินเอก็จะปล่อยวิตามินเอเข้าสู่กระแสเลือด หลังจากนั้นเซลล์เยื่อบุผิวที่มีอยู่ทั่วร่างกายก็จะนําวิตามินเอไปใช้ประโยชน์ต่อไป
  • วิตามินเอ (Vitamin A) พบอยู่ในสัตว์เท่านั้น แต่อาหารที่มีวิตามินเอสูง ได้แก่ น้ำมันตับปลา โดยเฉพาะปลาทูน่าและปลาค็อด (ปลาค็อด เป็นปลาทะเลน้ำลึก) นอกจากนี้ยังพบวิตามินเอสูงในตับของสัตว์ต่าง ๆ และในไข่แดง
  • วิตามินเอ (Vitamin A) ไม่มีอยู่ในอาหารจำพวกพืชผักผลไม้ แต่ในพืชผักนั้นมีสารแคโรทีนอยด์ (carotenoid) ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ที่ผนังลําไส้เล็ก ตับ และไต จึงเรียกแคโรทีนอยด์ว่าเป็นโปรวิตามินเอ (provitamin A)

ซึ่งสารแคโรทีนอยด์นั้นมีอยู่ในพืชผักที่มีสีเขียวและสีเหลือง และผลไม้ที่มีสีเหลือง, ส้ม, แดง เช่น แครอท ฟักทอง มะละกอสุก มะเขือเทศ ใบคะน้า ใบยอ และใบตําลึง เป็นต้น

และมีผลการศึกษาจากงานวิจัยต่าง ๆ พบตรงกันว่า การขาดวิตามินเอ แม้เพียงในระดับอ่อน แม้จะไม่ปรากฏอาการเปลี่ยนแปลงทางตา (Mild or subclinical vitamin A) แต่จะมีความสัมพันธ์กับการเสี่ยงต่อการตายและการติดเชื้อต่าง ๆ เช่น โรคหัด การติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ และโรคท้องเสียในเด็ก เป็นต้น การเสริมสร้างวิตามินเอแก่เด็กกลุ่มที่เสี่ยงต่อการขาดวิตามินเอในระดับอ่อนและปานกลางจึงสามารถลดอัตราการตายและการติดเชื้อได้ [22] [23]


7. วิตามินอี (Vitamin E)
วิตามินอี Vitamin E เป็นหนึ่งในสารอาหาร 5 หมู่ ที่มีคุณประโยชน์จำเป็นต่อร่างกายในส่วนของสุขภาพและความงาม โดยวิตามินอี Vitamin E นั้นเป็นหนึ่งในวิตามินที่สามารถละลายในไขมันได้ดี และร่างกายจำเป็นต้องใช้วิตามินอี Vitamin E ในกระบวนการต่อต้านอนุมูลอิสระ หรือให้มีส่วนช่วยในการปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการอักเสบ และเป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ เพราะเมื่อเซลล์เกิดภาวะอักเสบหรือเสียหายก็จะเกิดความเสื่อมของเซลล์ที่นำไปสู่ความเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกร่างกาย เช่น เมื่อมีอนุมูลอิสระจำนวนมากที่ดวงตา ก็จะเสี่ยงต่อการเกิดภาวะจอประสาทตาเสื่อมได้

ระบบการทำงานของร่างกายเราจะใช้วิตามินอี Vitamin E เพื่อช่วยทำให้มีปฏิกิริยาเกิดขึ้นภายในร่างกาย ส่งผลให้การทำงานของระบบต่าง ๆ เป็นไปตามปกติ หรือเปรียบ วิตามินอี Vitamin E เสมือนน้ำมันหล่อลื่นในรถยนต์ที่จำเป็นต้องมี หรือเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ไม่ได้ให้พลังงานแก่รถ นั่นคือ วิตามินอี Vitamin E ไม่สามารถให้พลังงานโดยตรงต่อร่างกาย แต่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับวิตามินอี Vitamin E เพื่อไปทำหน้าที่เปลี่ยนอาหารให้เป็นพลังงาน ซึ่งในคนเราต้องการวิตามินอี Vitamin E ในปริมาณที่น้อยแต่ขาดไม่ได้
  • วิตามินอี Vitamin E ยังมีส่วนช่วยเสริมการทำงานของวิตามินเอ โดยจะไปป้องกันการเกิดออกซิเดชั่นของวิตามินเอ ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพของวิตามินเอสูญเสียไป
  • วิตามินอี Vitamin E เป็นสารสำคัญในอาหารธรรมชาติประเภทพืช ผัก ผลไม้, อาหารจำพวกถั่ว, อาหารทางการแพทย์, ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่การเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุก สด ใหม่ สะอาด และมีความหลากหลาย ทำให้ได้รับวิตามินอีที่ครบถ้วน ส่งผลให้สุขภาพร่างกายมีการทำงานที่ปกติสมบูรณ์ดี [30] [31]

8. สังกะสี (Zinc) 
มีส่วนช่วยคงสภาพปกติของการมองเห็น มีส่วนช่วยในการปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยในกระบวนการต่อต้านอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยในเมตาบอลิซึมปกติของวิตามินเอ และคุณประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย

ในบางคนอาจจะพอเคยได้สัมผัสและสงสัยว่า ทำไมเวลามาตรวจดวงตา แล้วได้วิตามินบำรุงสายตากลับมากินที่บ้าน แต่บางคนไม่ได้อะไรกลับมาบ้านเลย ยาหยอดตาก็ไม่ได้ มองใบหน้าลักษณะท่าทางก็ดูจะอายุก็ไล่เลี่ยกัน แต่ความสมควรที่จะได้รับวิตามินบำรุงสายตามักต้องมีเหตุผลที่ควรได้รับจริง ๆ

มีผลการศึกษาวิจัยในอเมริกาพบว่าการได้รับวิตามินบำรุงสายตา จำพวก วิตามินเอ วิตามินบี 2 เบต้า-แคโรทีน สังกะสี นั้นมีประโยชน์ในการชะลอการเสื่อมของดวงตาในผู้ป่วยที่เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งผู้ที่ไม่ได้รับวิตามินบำรุงสายตากลับบ้านไปด้วยนั้น แสดงว่าจอประสาทตายังมีสุขภาพดีอยู่ ซึ่งในสังกะสีมีคุณสมบัติช่วยในการทำให้จอประสาทตาเสื่อมที่เป็นอยู่แล้ว แย่ช้าลงได้นั่นเอง [28]

สังกะสี (Zinc) ยังมีความสำคัญต่อการทำงานของร่างกายที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโต ระบบภูมิคุ้มกันโรค การสืบพันธุ์และระบบชีวประสาทที่ควบคุมพฤติกรรม

สังกะสี (Zinc) มีบทบาทสำคัญ 3 ด้านในทุกเซลล์ของสิ่งมีชีวิต คือ…

1. การกระตุ้นปฏิกิริยาชีวเคมี (catalytic functions)
มีเอนไซม์มากกว่า 300 ชนิดที่มีธาตุสังกะสีเป็นองค์ประกอบ เพื่อกระตุ้นปฎิกิริยาชีวเคมีในขบวนการเมตาบอลิซึมของโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน ตลอดจนการสังเคราะห์กรดนิวคลีอิก ทั้ง DNA และ RNA ซึ่งมีความสำคัญในการแบ่งเซลล์ และการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกาย

2. บทบาทในระดับโครงสร้าง (structural function)
ซึ่งสังกะสีมีส่วนช่วยให้โปรตีนจัดปรับโครงสร้างเป็นรูป 3 มิติ โดยจับกับกรดอะมิโน histidine และ cysteine เป็น zinc motifs หรือ zinc fingers ที่กำกับการแสดงออกทางพันธุกรรม ผ่านกระบวนการ transcription โดยปัจจุบันพบว่าร้อยละ 8 ของรหัสพันธุกรรมมนุษย์ เกี่ยวข้องกับ zinc finger proteins ถึง 2,500 ชนิด

3. การควบคุมการทำงานระดับเซลล์ (regulatory function)
เป็นบทบาทของธาตุสังกะสีในส่วนของโครงสร้างโปรตีน ครอบคลุมกระบวนการสร้างโปรตีนภายในเซลล์ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างโปรตีนด้วยกัน และกระบวนการสื่อสารระหว่างเซลล์ ซึ่งธาตุสังกะสีมีบทบาทควบคุมการแสดงออกของหน่วยพันธุกรรมโดยตรง นอกจากนี้ สังกะสี ยังควบคุมการทำงานของเอ็นไซม์ kinase และphosphorylase เพื่อให้เกิดการสื่อสารภายในเซลล์ซึ่งเป็นกลไกหลักในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย [27]
โดยแหล่งอาหารที่พบธรตุสังกะสี ได้แก่ อาหารทะเลประเภทหอย หอยนางรม และธัญพืช ไข่ ตับ เนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากนม เป็นต้น


9. วิตามินบี 2 (Riboflavin)
วิตามินบี2 (Vitamin B2) หรือ Riboflavin (ไรโบฟลาวิน) หรือมีอีกชื่อว่า วิตามินจี (Vitamin G) เป็นหนึ่งในวิตามินบำรุงสายตาที่ขึ้นชื่อ เป็นสารอาหารที่จัดอยู่ในกลุ่มของวิตามินละลายในน้ำ มีสีเหลืองส้ม มีความคงตัวที่อุณหภูมิห้อง แต่ถูกทำลายได้ง่ายโดยแสง และเมื่อร่างกายได้รับวิตามินบี2 จากอาหาร จะถูกเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของ FMN หรือ FAD ซึ่งเป็นโคเอนไซม์และทำหน้าที่เป็น hydrogen receptor หรือเป็นกุญแจสำคัญในขบวนการออกซิเดชัน-รีดักชัน (oxidation-reduction) ในร่างกาย

FMN จะเกี่ยวข้องกับเมตาบอลิซึมของกรดไขมัน

FAD จะเกี่ยวข้องกับการสร้างพลังงานและสังเคราะห์ไนอาซิน (niacin) จากกรดอะมิโนทริปโตเฟน (tryptophan) ช่วยในการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต ไขมันและโปรตีน ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต มีการพัฒนาอย่างเหมาะสม ช่วยเสริมสร้างระบบประสาท ผิวหนัง และดวงตา อีกทั้งยังช่วยป้องกันเซลล์ถูกทำลาย

วิตามินบี2 หรือ ไรโบฟลาวิน ที่เข้าสู่เซลล์ของเนื้อเยื่อแล้วจะเปลี่ยนเป็น FMN ประมาณร้อยละ 60-95 และส่วนที่เหลือจะเปลี่ยนเป็น FAD ซึ่งทั้ง FMN และ FAD จะจับกับ flavoprotein และส่วนใหญ่จะอยู่ที่ ตับ ไตและหัวใจ และยังพบวิตามินบี2 หรือ ไรโบฟลาวิน ได้ที่บริเวณเรตินาของดวงตา ซึ่งในผู้ใหญ่ปกติจะมีวิตามินบี2 หรือ ไรโบฟลาวินสำรองเก็บไว้พอใช้ได้ภายใน 2-6 สัปดาห์

จากการศึกษาวิจัยพบว่า วิตามินบี2 หรือ Riboflavin เป็นสารอาหารที่พบได้ในอาหารที่ได้จากธรรมชาติ แต่โดยปกติแล้วแบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้ใหญ่ของร่างกายมนุษย์จะสามารถสังเคราะห์วิตามินบี2 ขึ้นมาใช้เองได้ แต่มีปริมาณที่ดูดซึมมาใช้ได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ร่างกายจึงมีความต้องการวิตามินบี2 เพิ่มขึ้น โดยแหล่งอาหารธรรมชาติที่มีวิตามินบี2 (riboflavin) คือ เนื้อสัตว์ต่าง ๆ และเครื่องใน เช่น หัวใจ ตับไก่ ไตหมู นมวัว ไข่ ชีส เนยแข็ง โยเกิร์ต ข้าวซ้อมมือ ถั่วเมล็ดแห้ง ผลไม้เปลือกแข็ง และผักใบเขียว [26] [27]
 
ที่มา
[1] ชัวร์ก่อนแชร์: แสงสีฟ้าทำลายจอประสาทตาจริงหรือ? | สำนักข่าวไทย อสมท
[2] สีและแสง การวัดการดูดกลืน สถาบันนวัตกรรมและพัฒนากระบวนการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยมหิดล
[3] แสงที่ตามองเห็น (visible light) กับ รังสีเอกซ์ (x-ray)
[4] ผลกระทบของแสงสีฟ้าต่อสุขภาพดวงตาของคุณ
[5] จอประสาทตาเสื่อม สูงวัยทำอย่างไร ? / RAMA CHANNEL 
[6] Phytonutrients – Nature’s Natural Defense
[7] Clinical Evidence of the Benefits of Phytonutrients in Human Healthcare
[8] 8 โรคตาต้องระวัง เช็กความเสื่อม รู้ก่อนเสี่ยง / รพ. กรุงเทพ
[9] ตารางตรวจจุดภาพชัด เช็กอาการจอตาเสื่อม / รพ. ศิริราช ปิยมหาราชการุณย์
[10] บทความสุขภาพ “จอประสาทตาเสื่อม” อาการเริ่มต้นที่ควรระวัง! สาเหตุ วิธีรักษา วิธีป้องกัน / รพ. สมิติเวช
[11] ลูทีนและซีแซนทีน อาหารของดวงตา กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
[12] ไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrients) สารอาหารจากพืชพรรณที่ดีต่อสุขภาพ
[13] บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน / มหาวิทยาลัยมหิดล คณะเภสัชศาสตร์
[14] ผลของโปสเตอร์โภชนศึกษาเรื่องอาหารที่มีลูทีนและซีแซนทีนสูง เพื่อสุขภาพสายตาในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ
[15] เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง / แอนโทไซยานิน
[16] การศึกาปริมาณแอนโทไซยานินในข้าวกล้องหอมดำสุโขทัย
[17] ความสามารถในการต้านอนุมูลอสิระของแอนโทไซยานิน / เบต้าแคโรทีน / วิตามินอี
[18] การวิเคราะห์ปริมาณแอนโธไซยานินและความสามารถในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระของมันเลือดไก่
[19] แอนโธไซยานิน สารพฤกษเคมีเพื่อสุขภาพดวงตา / วงการยา
[20] Maarit Rein. Copigmentation reactions and color stability of berry anthocyanins. University of Helsinki, 2005.  
[21] Michael Rhone and Arpita Basu. Phytochemicals and age-related eye diseases. Nutrition Reviews®. 2008;66(8):465-472.
[22] วิตามินเอ
[23] วิตามินเอ
[24] เบต้าแคโรทีน / สำนักโภชนาการ
[25] ประโยชน์ยิ่งใหญ่ของบีตาแคโรทีนในผักและผลไม้ / RAMA CHANNEL - มหาวิทยาลัยมหิดล คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
[26] ประเภทและข้อแตกต่างวิตามินบี2
[27] ปริมาณสารอาหารอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทย พ.ศ. 2563 / สมาคมนักกำหนดอาหารแห่งประเทศไทย 
[28] อาหารบำรุงสายตา
[29] บทความสุขภาพ รพ.สมิติเวช
[30] วิตามิน ตอนที่3 วิตามินอี – Chula Digital Collections
[31] CMU Intellectual Repository / บทที่2 วิตามินอี
แชทผ่านไลน์ @Liveandfit