สมัครสมาชิก / เข้าสู่ระบบ
หรือ
หากคุณยังไม่ได้เป็นสมาชิกกับเรา !
การดำเนินการต่อถือว่าคุณยอมรับ
ข้อกำหนดและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว
เราอาจส่งข่าวสารให้ท่าน ท่านสามารถปิดการรับข่าวสาร
ได้โดยเปลี่ยนการตั้งค่าในบัญชีของท่าน
เราจะไม่ส่งข่าวสารโดยไม่ได้รับอนุญาตจากท่าน
สมัครสมาชิก / เข้าสู่ระบบ
หากคุณยังไม่ได้เป็นสมาชิกกับเรา !
หรือเข้าสู่ระบบด้วย
หรือ
สั่งซื้อทันทีโดยไม่สมัครสมาชิก
การดำเนินการต่อถือว่าคุณยอมรับ
ข้อกำหนดและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว
เราอาจส่งข่าวสารให้ท่าน ท่านสามารถปิดการรับข่าวสาร
ได้โดยเปลี่ยนการตั้งค่าในบัญชีของท่าน
เราจะไม่ส่งข่าวสารโดยไม่ได้รับอนุญาตจากท่าน
ตะกร้าสินค้า
รายการสินค้าที่สั่งซื้อ
ยังไม่มีคำสั่งซื้อ
แนะนำสำหรับคุณ
PRODUCTS
CUSTOMER SERVICE
ABOUT US
PROMOTION
REWARDS
HELPING
7 โรคภัย ที่ต้องระวังไว้ในฤดูฝน
7 โรคภัย ที่ต้องระวังไว้ในฤดูฝน

ฤดูฝน เป็นอีกหนึ่งฤดูกาลที่เต็มไปด้วยสาเหตุของการแพร่ระบาดของโรคหลายชนิด กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข จึงได้ออกประกาศเตือนประชาชนในการป้องกันโรคต่าง ๆ ที่เป็นภัยต่อสุขภาพ โดยมี 7 โรคสำคัญที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ดังนี้

1. ไข้หวัดใหญ่
เกิดจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์ไข้หวัดใหญ่ที่ชื่อว่า Influenza Virus ซึ่งเป็นต้นเหตุของการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจอย่างเฉียบพลัน อาการติดเชื้อมักเริ่มขึ้นในจมูกและคอ (เยื่อบุทางเดินหายใจส่วนบน) และแพร่กระจายไปยังปอดและหลอดลม แต่เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ไม่ได้มีแค่สายพันธุ์เดียวเท่านั้น โดยไข้หวัดใหญ่มีสายพันธุ์ใหญ่หลัก ๆ สามสายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ A สายพันธุ์ B และสายพันธุ์ C โดยสายพันธุ์ B เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลซึ่งจะระบาดบ่อยในช่วงฤดูหนาวและฤดูฝน เพราะไวรัสไข้หวัดใหญ่จะเจริญเติบโตได้ดีเป็นพิเศษในอาการเย็น

อาการของโรคไข้หวัดใหญ่ มีไข้สูงถึง 40 องศาเซลเซียส นาน 2 - 4 วัน คัดจมูกบ่อย ๆ ปวดศีรษะมาก ๆ มีอาการปวดตัว ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้ออย่างมาก แน่นหน้าอกหรือไอบ่อย ๆ และอาการอาจรุนแรงขึ้นได้ เจ็บคอบ่อย ๆ มีน้ำมูกบ่อย ๆ จามบ่อย ๆ มีอาการเบื่ออาหารบ่อย ๆ รู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ คลื่นไส้และอาเจียน โดยเฉพาะในผู้ป่วยเด็ก และมีอาการอ่อนเพลียมาก อาการยาวนาน 2 - 3 สัปดาห์

2. ไข้หวัดธรรมดา
เป็นโรคที่พบบ่อยมาก ทั้งในผู้ใหญ่และเด็ก โดยเฉพาะเด็กเล็ก ซึ่งพบว่าเป็นหวัดได้บ่อยถึงปีละ 6 - 8 ครั้ง เพราะเด็กมีภูมิคุ้มกันโรคต่ำกว่าผู้ใหญ่ และเด็กที่เป็นโรคภูมิแพ้ก็จะยิ่งมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้มากขึ้น อาจเกิดจากเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียที่ปนเปื้อนอยู่ในอากาศ และอาจเจ็บป่วยจนถึงขั้นเป็นหวัดเรื้อรังหรือเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น หลอดลมปอด ไซนัสและหูชั้นกลางอักเสบตามมาได้

อาการของโรคไข้หวัดธรรมดา มีไข้ไม่สูงมาก หรือมีไข้แบบค่อยเป็นค่อยไป และเป็นอยู่ไม่เกิน 3 วัน อาการหวัดมักจะหายไปเองใน 3 – 4 วัน หรือไม่เกิน 7 วัน แต่เด็กมักจะมีไข้สูงมากกว่าผู้ใหญ่ มีปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและลำตัวเล็กน้อย หรืออาจไม่ปวดเลย ไอแบบแห้ง ๆ และแน่นหน้าอก แต่ไม่มากนัก เจ็บคอบ่อย ๆ มีน้ำมูกบ่อย ๆ จามบ่อย ๆ ไม่มีอาการเบื่ออาหาร กินอาหารได้ตามปกติ ๆ รู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ คลื่นไส้และอาเจียน มีอาการอ่อนแรงและอ่อนเพลียไม่มากนัก แต่จะรู้สึกไม่สบายตัว

3. โรคต่อมทอนซิลอักเสบ
เป็นภาวะอักเสบของต่อมทอนซิล ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บคอซึ่งเกิดจากคออักเสบ ทั้งจากกลุ่มโรคติดเชื้อ และไม่ติดเชื้อ ส่วนใหญ่ประมาณ 70 - 80% เกิดจากเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ รวมทั้งเชื้อไวรัสอื่น ๆ อีกหลายชนิด มีบางส่วนประมาณ 15 - 20% เกิดจากเชื้อแบคทีเรียซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด และอีกประมาณ 5% เกิดจากการติดเชื้อรา ซึ่งมักพบในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันโรคต่ำ

อาการของโรคต่อมทอนซิลอักเสบ เจ็บคอ กลืนลำบาก เสียงแหบ มีไข้สูง ตาแดง (เยื่อตาขาวอักเสบ) ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร มีกลิ่นปาก บางรายอาจมีอาการท้องเดิน หรือถ่ายเหลวร่วมด้วย    

4. โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน
ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจาก “เชื้อโรต้าไวรัส” ที่มาจากการกินอาหารหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อโรคปนเปื้อนเข้าไป

อาการของโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน มีลักษณะอาการสำคัญคือ ถ่ายอุจจาระเหลวตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไปใน 24 ชั่วโมง ถ่ายเป็นน้ำ หรือถ่ายมีมูกปนเลือด อาจมีอาการไข้หรืออาเจียน มีอาการอ่อนเพลีย เกิดจากการสูญเสียน้ำและเกลือแร่จำนวนมาก โดยไม่ได้รับสารน้ำทดแทนที่ทันท่วงที เป็นโรคที่สามารถหายป่วยเองได้ แต่ในรายที่มีอาการรุนแรงอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

5. โรคเยื่อบุตาอักเสบ หรือ ตาแดง
เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ติดเชื้อ ภูมิแพ้ ถูกสารเคมี เป็นต้น แต่ที่พบบ่อยและติดต่อกันง่ายมาก คือโรคเยื่อบุตาอักเสบจากเชื้อไวรัส โดยการติดต่อทางน้ำตาผ่านการสัมผัสโดยตรงจากมือ หรือเครื่องใช้ และไปสัมผัสตาขออีกคนหรือถูกน้ำสกปรกเข้าตา แต่ไม่ติดต่อทางการมองทางอากาศ หรือรับประทานอาหารร่วมกัน โรคนี้พบบ่อยในช่วงฤดูฝน

อาการของโรคเยื่อบุตาอักเสบ บริเวณเยื่อบุตาที่คลุมภายในหนังตาและคลุมตาขาวเกิดการอักเสบ บวม เคืองตามาก น้ำตาไหล เจ็บตา และมักมีขี้ตามากร่วมด้วย อาจเป็นเมือกใส หรือมีสีเหลืองอ่อนเนื่องจากติดเชื้อแบคทีเรียมาพร้อมกัน

6. โรคไข้เลือดออก
เกิดจากการถูกยุงลายตัวเมียกัดและดูดเลือดผู้ป่วยที่อยู่ในระยะไข้ ซึ่งเป็นระยะที่มีไวรัสอยู่ในกระแสเลือดมาก เชื้อไวรัสจะเข้าสู่กระเพาะยุง และเพิ่มจำนวนมากขึ้น แล้วเดินทางเข้าสู่ต่อมน้ำลาย พร้อมที่จะเข้าสู่คนที่ถูกกัดเพื่อปล่อยเชื้อไปยังคนที่ถูกกัดคนต่อไปและทำให้คนนั้นป่วยได้

อาการของโรคไข้เลือดออก จะมีอาการปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา ปวดเมื่อยตามตัว ปวดข้อหรือกระดูก มีไข้สูงเฉียบพลันเกิน 38 องศาเซลเซียสประมาณ 2 - 7 วัน คลื่นไส้ ปวดท้องอย่างรุนแรง กดเจ็บชายโครงด้านขวา อาเจียน เบื่ออาหาร หน้าแดง อาจพบจ้ำเลือดหรือจุดเลือดออกสีแดงเล็ก ๆ ตามผิวหนัง หรือมีเลือดออกบริเวณอื่น เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน ปัสสาวะ อุจจาระมีเลือดปน

7. โรคฉี่หนู
เรียกอีกอย่างว่าโรคเล็ปโตสไปโรซิส เป็นโรคที่พบว่าระบาดมากที่สุดในฤดูฝน เพราะน้ำฝนจะชะล้างเอาเชื้อโรคต่าง ๆ ไหลมารวมกันอยู่ในบริเวณน้ำท่วมขัง เป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่อยู่ในปัสสาวะของสัตว์ที่เป็นพาหะ เช่น หนู หมู วัว ควาย สุนัข เป็นต้น โดยสัตว์ที่เป็นพาหะอาจไม่แสดงอาการ แต่มีการติดเชื้อที่ต่อไต ทำให้มีการปล่อยเชื้อออกมากับปัสสาวะ แล้วแฝงอยู่ในจุดที่น้ำท่วมขัง และเชื้อโรคก็จะติดต่อทางบาดแผล มีน้ำเป็นตัวนำพา จึงไม่ควรเดินในน้ำขัง โดยเฉพาะคนที่มีบาดแผลบริเวณเท้า

อาการของโรคฉี่หนู อาจไม่มีอาการสำหรับผู้ที่ได้รับเชื้อบางคน ส่วนผู้ที่มีอาการ อาจแบ่งได้เป็น 2 ระยะ ดังนี้
  • ระยะแรก หลังจากได้รับเชื้อ 4 - 7 วัน จะมีไข้สูงเฉียบพลัน คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อหลัง น่อง ต้นคอ มีอาการตาแดงในช่วง 3 วันแรก และเมื่อถึง 1 สัปดาห์อาจเปลี่ยนเป็น ตาเหลือง ตัวเหลือง ความดันโลหิตต่ำ ในรายที่ป่วยรุนแรง จะมีอาการ ผื่นแดง ต่อมน้ำเหลืองโต ตับและม้ามโต
  • ระยะที่สอง หลังจากเริ่มมีอาการไข้ประมาณ 1 สัปดาห์ จะมีช่วงที่ไข้ลดลงประมาณ 1 - 2 วัน แล้วกลับมามีไข้ขึ้นอีกครั้ง ในระยะนี้ ผู้ป่วยมักมีอาการ ปวดศีรษะ ไข้ต่ำ คลื่นไส้ไม่มาก อาจพบอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ม่านตาอักเสบ การทำงานของตับและไตผิดปกติ ซึ่งระยะนี้กินเวลานานถึง 30 วัน แต่ไม่ได้เกิดขึ้นกับผู้ป่วยทุกราย

การดูแลสุขภาพให้แข็งแรงตลอดเวลาจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่สุด ที่สำคัญ ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับคนป่วย หลีกเลี่ยงสถานที่แออัดในช่วงการระบาดของไวรัสไข้หวัดต่าง ๆ หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่บ่อย ๆ และอาบน้ำ สระผม ทุกครั้งเมื่อจำเป็นต้องตากฝน หลีกเลี่ยงการเอามือเข้าปาก หรือขยี้ตา อย่าใช้ของใช้ร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำขัง ออกกำลังกายเป็นประจำ พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ กินอาหารที่มีประโยชน์และดื่มน้ำขิง เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรง นะคะ
แชทผ่านไลน์ @Liveandfit