ความเสื่อมสภาพของร่างกายเกิดขึ้นได้ในทุกวัน แต่ร่างกายจะมีการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอหรือมีการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทนเซลล์เก่าที่เสื่อมหรือตายไป ซึ่งเป็นกลไกตามธรรมชาติของร่างกาย แม้กระทั่งในวัยเด็กก็ยังมีการเสื่อมสภาพของร่างกายได้ แต่เป็นการเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย ไม่ชัดเจนเหมือนกับในวัยผู้ใหญ่ที่มีอายุเพิ่มมากขึ้น ความเสื่อมของร่างกายก็เกิดเพิ่มมากขึ้นและตามมาด้วยโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกาย เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิต โรคเบาหวาน เป็นต้น และอนุมูลอิสระก็คือหนึ่งในปัจจัยที่มีส่วนทำให้ร่างกายเสื่อมสภาพเร็วก่อนวัยอันควร เป็นผู้ทำลายเซลล์สำคัญต่าง ๆ ของร่างกาย อันนำไปสู่การเกิดโรคต่าง ๆ ขึ้นนั่นเอง
อนุมูลอิสระ เป็นสารที่ไม่เสถียร เป็นเพียงโมเลกุลที่อยู่เพียงตัวเดียว (ไม่มีคู่) และเกิดขึ้นเองได้จากกระบวนการภายในร่างกาย เช่น การรับประทานมากเกินความจำเป็นสู่กระบวนการเผาผลาญที่มากขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดอนุมูลอิสระที่มากขึ้นด้วย และยังมีอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจากปัจจัยกระตุ้นภายนอกร่างกาย แต่ส่งผลให้เกิดอนุมูลอิสระภายในร่างกาย ได้แก่ แสงแดดที่มีรังสี UV สูง ฝุ่น ควัน มลพิษ เชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสที่ปะปนมาในอากาศ อาหารที่ผ่านความร้อนสูง รวมถึงภาวะเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ และไม่ออกกำลังกาย เป็นต้น
เมื่อร่างกายมีอนุมูลอิสระเกิดขึ้น ก็จะสร้างสารต้านอนุมูลอิสระ antioxidant ขึ้นมาป้องกัน ต่อสู้ หรือกำจัดอนุมูลอิสระเหล่านี้ โดยสารต้านอนุมูลอิสระ antioxidant สามารถแบ่งตามกลไกการยับยั้งอนุมูลอิสระได้เป็น 3 ชนิด คือ
ป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ (Preventive antioxidant)
- ทำลายหรือยับยั้งอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้น (Scavenging antioxidant)
- ทำให้ลูกโซ่ของการเกิดอนุมูลอิสระสิ้นสุดลง หรือการช่วยชะลอการเกิดออกซิเดชั่น ซึ่งเป็นตัวเร่งความแก่เร็ว ริ้วรอยมากขึ้นและเจ็บป่วยได้ง่าย (Chain breaking antioxidant)
- แต่หากอนุมูลอิสระมีจำนวนมากกว่าสารต้านอนุมูลอิสระ เมื่อนั้นอนุมูลอิสระตัวร้ายก็จะเริ่มทำลายเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย หรือที่เรียกว่า “Oxidative Stress” ที่มีส่วนทำให้เซลล์เกิดการอักเสบและเสียหาย
เมื่อเซลล์อักเสบและเสียหายจึงเกิดความเสื่อมของเซลล์ที่นำไปสู่ความเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกร่างกาย เช่น
- อนุมูลอิสระมีจำนวนมากที่ สมอง เสี่ยงสมองล้า มีปัญหาภาวะสมองเสื่อมอัลไซเมอร์
- อนุมูลอิสระมีจำนวนมากที่ ตา เสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจก ประสาทตาเสื่อม
- อนมูลอิสระมีจำนวนมากที่ หลอดเลือด เสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ
- อนุมูลอิสระมีจำนวนมากที่ ผิวหนัง เสี่ยงต่อการมีริ้วรอยก่อนวัย เป็นสิว ผิวหนังแห้งหยาบ ไม่ยืดหยุ่น เป็นโรคผิวหนัง เช่น กลาก โรคสะเก็ดเงิน ผิวหนังอักเสบ มะเร็งที่ผิวหนัง ฯลฯ
- อนุมูลอิสระมีจำนวนมากที่ ตับ เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน และโรคร้ายแรงอื่น ๆ
- อนุมูลอิสระมีจำนวนมากที่ ไต เสี่ยงต่อการเจอสภาวะที่ไตภูกทำลาย เป็นโรคไตเรื้อรัง โรคไตอักเสบ
- อนุมูลอิสระมีจำนวนมากที่ หัวใจ เสี่ยงเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด
- อนุมูลอิสระมีจำนวนมากที่ ปอด เสี่ยงต่อการเป็นโรคหอบหืด หลอดลมอักเสบเรื้อรัง โรคมะเร็งปอด
- อนุมูลอิสระมีจำนวนมากที่ ภูมิคุ้มกัน เสี่ยงต่อการมีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เจ็บป่วยง่าย เป็นโรคร้ายแรง
- อนุมูลอิสระมีจำนวนมากที่ ข้อต่อกระดูก เสี่ยงต่อการมีภาวะกระดูกพรุน ข้ออักเสบ ข้อเข่าเสื่อม ข้ออักเสบสะเก็ดเงิน


ซึ่งในช่วงอายุวัยหนุ่มสาว ผลเสียที่เกิดจากอนุมูลอิสระและมีต่อร่างกายนั้นค่อนข้างน้อย เพราะร่างกายยังมีกระบวนการซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้นภายในร่างกายได้ ยังสามารถต่อต้านหรือกำจัดอนุมูลอิสระได้ดีในระดับหนึ่ง แต่เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นก็อาจจะเกิดภาวะเซลล์เสื่อมสภาพ หรือร่างกายอ่อนแอ ขาดการออกกำลังกาย มีความเครียด ภูมิคุ้มกันร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับอนุมูลอิสระได้ อนุมูลอิสระก็จะทำลายเซลล์ต่าง ๆ นั่นเอง
ระยะของช่วงอายุที่มีผลต่อประสิทธิภาพของเซลล์ในร่างกาย
- ช่วงอายุ 22 - 35 ปี ประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ในร่างกายเริ่มลดลง ตั้งแต่ช่วงอายุ 22 ปี เริ่มมีอัตราการลดลงของฮอร์โมนในร่างกายและจะลดลงอีก 14% เมื่ออยู่ในช่วงอายุ 35 ปี ร่างกายจะเริ่มมีความเสื่อมสภาพแต่ยังไม่แสดงอาการให้พบเห็น
- ช่วงอายุ 35 - 45 ปี เซลล์ต่าง ๆ จะเสื่อมลงมากขึ้น รวมไปถึงฮอร์โมนที่ลดลงเรื่อย ๆ ด้วยเช่นกันอีก 25% เมื่ออยู่ในช่วงอายุ 45 ปี ร่างกายเริ่มเปลี่ยนแปลงและแสดงให้เห็นถึงผลของความเสื่อมของเซลล์ เช่น ผิวหน้ามีริ้วรอย สายตาเปลี่ยน เริ่มมองไม่ชัด มีผมหงอก ในบางคนอาจตรวจพบเซลล์มะเร็งได้ในระยะนี้
- ช่วงอายุ 45 ปี ขึ้นไป ปริมาณการเสื่อมสภาพของเซลล์เพิ่มมากขึ้น แต่การสร้างเซลล์ใหม่ลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นระยะที่ร่างกายของแต่ละคนอาจแสดงให้เห็นว่ามีอาการของผิวหนังแห้ง ผิวหนังมีริ้วรอยที่เห็นได้ชัดเจน ผิวหนังเหี่ยวย่น พบอาการไขข้อเสื่อม และสุขภาพต้องเผชิญกับโรคภัยต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ โรคเกี่ยวกับระบบประสาทและสมอง โรคทางระบบสายตาและการมองเห็น โรคเบาหวาน โรคตับ โรคมะเร็ง เป็นต้น
แต่ในปัจจุบัน ความเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกายเริ่มมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นกับกลุ่มคนที่มีอายุน้อยที่อาจเป็นเพราะรูปแบบวิถีการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปเป็นตัวแปรทำให้ร่างกายต้องเผชิญกับ อนุมูลอิสระ ตัวเร่งความเสื่อมของร่างกายอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น การมีความรู้ความเข้าใจในวิถีการชะลอความเสื่อมของร่างกายด้วยวิธีการดำเนินชีวิตที่ไม่ประมาท มีการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม และ
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีส่วนช่วยปกป้องร่างกายไม่ให้เสื่อมเร็ว ยืดอายุการทำงานของเซลล์ต่าง ๆ ให้ร่างกายได้ยาวนานขึ้นและส่งผลให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงแบบยั่งยืน
ป้องกันร่างกายไม่ให้เสื่อมเร็ว ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ดังนี้...
สาหร่ายฮีมาโตค็อกคัส มีสารแอสตาแซนธิน (Astaxanthin) สูง
สาหร่ายฮีมาโตค็อกคัส เป็นที่รู้จักกันดีว่ามีโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุต่าง ๆ อยู่ในปริมาณมาก แต่มีไขมันในปริมาณน้อย มีการศึกษาวิจัยพบว่า สารสกัดจากสาหร่ายฮีมาโตค็อกคัส เช่น กลุ่มสารโพลีแซคคาไรด์ กลุ่มสารไกลโคโปรตีน กลุ่มสารโพลีฟีนอล กลุ่มสารโทโคฟีรอล กลุ่มสารแคโรทีนอยด์ สารฟิวโคแซนทีน และสารพฤกษเคมีอื่น ๆ
มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระคุณภาพสูง ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพในด้านการชะลอความเสื่อมของร่างกาย รวมไปถึงผิวพรรณที่ปรากฏให้เห็นได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะสารแอสต้าแซนทีน astaxanthin ซึ่งเป็นสารสำคัญในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ที่มีมากในสาหร่ายฮีมาโตค็อกคัส ที่ปัจจุบันนักวิจัยได้ให้ความสนใจศึกษา สารแอสต้าแซนทีน astaxanthin สามารถนำไปใช้ประโยชน์ทั้งด้านสุขภาพและการช่วยชะลอวัยอย่างกว้างขวางอีกด้วย
แอสต้าแซนทีน astaxanthin ถือเป็นนวัตกรรมชะลอวัย ป้องกันร่างกายไม่ให้เสื่อมเร็ว เพราะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ antioxidant ที่มีกลไกในรูปแบบของการทำลายหรือยับยั้งอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้น (Scavenging antioxidant) มีส่วนช่วยป้องกันการทำลายเซลล์ และกระบวนการออกซิเดชั่นที่มีผลทำให้เกิดการเสื่อมของเซลล์และเกิดริ้วรอยก่อนวัย
แอสต้าแซนทีน astaxanthin เป็นสารชะลอวัยที่นิยมนำมาสกัดเป็นรูปแบบของอาหารเสริม เพื่อช่วยดูแลป้องกันร่างกายไม่ให้เสื่อมเร็ว ชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ ช่วยบำรุงผิวพรรณ เส้นผม เล็บ ปกป้องดวงตา หัวใจ บำรุงสมองและความจำ และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรง เป็นต้น
ปริมาณการบริโภคสารแอสต้าแซนทีน astaxanthin จะนิยมบริโภคสารแอสต้าแซนทีน astaxanthin ในผู้ใหญ่ประมาณ 4 - 18 มิลลิกรัมต่อวัน และกินต่อเนื่องกัน ไม่เกิน 12 สัปดาห์หรือ 3 เดือน พักเบรกสัก 1 เดือน แล้วจึงค่อยกินต่อ โดยปริมาณการบริโภคสารแอสต้าแซนทีน astaxanthin ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ที่ต้องการ เช่น ปริมาณ 4 มก. ต่อวัน มีผลต่อการลดการอักเสบได้ดี หรือบริโภคในปริมาณ 12 มก. ต่อวัน มีส่วนช่วยในการเพิ่มปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระ antioxidant ให้มากขึ้น อีกทั้งสารแอสต้าแซนทีน astaxanthin ยังจัดอยู่ในกลุ่มสารแคโรทีนอยด์ที่ละลายได้ดีในน้ำมัน จึงควรบริโภคอาหารที่มีส่วนประกอบของไขมันจะมีส่วนช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารแอสต้าแซนทีน astaxanthin ได้ดียิ่งขึ้น
ความมหัศจรรย์ของสารแอสต้าแซนทีน astaxanthin ที่ไม่มีสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นเทียบได้ก็คือ เมื่อร่างกายได้รับสารต้านอนุมูลอิสระมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ สารต้านอนุมูลอิสระจะกลายเป็น Pro-Oxidant ก็คือกลายเป็นสารที่กระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระแทน ซึ่งจากการศึกษาของนักวิจัยนั้นพบว่า แอสต้าแซนทีน astaxanthin ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเป็นอนุมูลอิสระแถมยังเป็นตัวช่วยที่มีคุณค่าในการสร้างเสริมสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืนอีกด้วย
โดยปกติร่างกายไม่สามารถสร้างหรือสังเคราะห์สารแอสต้าแซนทีน astaxanthin ขึ้นมาเองได้ โดยจะต้องได้รับสารแอสต้าแซนทีน astaxanthin จากการกินอาหารเพียงอย่างเดียว และจะพบสารแอสต้าแซนทีน astaxanthin อยู่ในเปลือกกุ้งมังกร (ล็อบสเตอร์) เปลือกปู ปลาแซลมอน แต่พบมากที่สุดในสาหร่ายสีแดงสายพันธุ์ฮีมาโตค็อกคัส พลูวิเอลิส มากกว่าปู กุ้ง ปลา นั่นอาจเป็นเพราะ ปูและกุ้งไปกินสาหร่ายจึงมีสีแดง และปลาก็มากินกุ้งกินปูจึงเกิดสีแดง เนื่องจากแอสต้าแซนทีน astaxanthin เป็นสารที่ทำให้เกิดสีแดงหรือสีชมพูในพืชหรือสัตว์นั่งเอง
ตัวอย่างปริมาณสารแอสต้าแซนทีน astaxanthin ที่พบในอาหารชนิดต่าง ๆ
- สาหร่ายฮีมาโตค็อกคัส พลูวิเอลิส 40,000 PPM
- ยีสต์ (Phaffia Yeast) 10,000 PPM
- กุ้ง 1,200 PPM
- เคย 120 PPM
*ppm (Parts per million) คือส่วนต่อล้าน ใช้อธิบายคุณภาพของประสิทธิภาพหรือความเข้มข้นของสาร ในส่วนผสมที่ใหญ่กว่า สามารถใช้เพื่ออธิบายสารละลายในน้ำ อัตราความบกพร่อง ฯลฯ เป็นการวัดทางเทคนิคแบบไม่มีขนาดและเหมาะกว่าในการอธิบายความเข้มข้นของสารในก๊าซ ของเหลว หรือของแข็ง
ขมิ้นชัน (Turmeric)
ขมิ้นชัน เป็นพืชสมุนไพรที่อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติที่มีสรรพคุณและความปลอดภัยในการนำมาใช้เป็นสมุนไพรรักษาโรค โดยมีการเลือกใช้เหง้าขมิ้นชันมาทำเป็นยา บดเป็นผงทำขมิ้นชันแคปซูล เป็นสารสกัดขมิ้นชัน เป็นวัตถุเครื่องปรุงในเมนูอาหาร หรือนำมาทำเป็นสีย้อมผ้า และใช้ทำประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย ชื่อขมิ้นชันจึงเป็นชื่อที่คนไทยรู้จักกันดี หรือชื่อท้องถิ่นในประเทศไทยที่ใช้เรียกก็มี ขมิ้น ขมิ้นแกง ขมิ้นหยอก ขมิ้นหัว ขี้มิ้น เป็นต้น และสารสำคัญในขมิ้นชันคือคุณค่าจากธรรมชาติที่ถือเป็นนวัตกรรมชะลอวัย ให้คุณห่างไกลริ้วรอย
ขมิ้นชัน อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 วิตามินซี วิตามินอี และแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ฯลฯ และมีสารสำคัญเด่น ๆ ในการออกฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาอยู่ 2 ชนิด ได้แก่
- น้ำมันหอมระเหย (Volatile oil) คือน้ำมันที่อยู่ในเซลล์ของพืช สามารถระเหยได้ที่อุณหภูมิห้อง บางครั้งเรียก essential oil นิยมแยกสกัดน้ำมันหอมระเหยออกมาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมยา อาหารและเครื่องสำอาง
- เคอร์คูมิน (Curcumin) สารสีเหลืองส้มหรือสารสีทองที่ได้มีการศึกษาวิจัยการออกฤทธิ์ทางชีวภาพของสารเคอร์คูมินอย่างกว้างขวางในต่างประเทศ พบว่าสารเคอร์คูมิน (Curcumin) มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ antioxidant คุณภาพดี ที่มีส่วนในทุกกลไกของการยับยั้งอนุมูลอิสระ ทั้งการป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ, ทำลายหรือยับยั้งอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้น, ทำให้ลูกโซ่ของการเกิดอนุมูลอิสระสิ้นสุดลง โดยสารเคอร์คูมิน (Curcumin) จากขมิ้นชันมีส่วนช่วยเพิ่มการทำงานของเอนไซม์ ที่ทำหน้าที่กำจัดอนุมูลอิสระในเลือด อาทิ ซูเปอร์ออกไซด์ดิสมิวเทส (superoxide dismutase; SOD) กลูตาไธโอน เปอร์ออกซิเดส (glutathione peroxidase; GSH) และลิพิดเปอร์ออกซิเดส (lipid peroxides) และเมื่อเปรียบเทียบกับพืชในวงศ์เดียวกัน พบว่าขมิ้นชันมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ antioxidant สูงที่สุด อีกทั้งยังมีฤทธิ์บำรุงและรักษาตับ มีส่วนช่วยป้องกันมะเร็ง ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลและป้องกันภาวะสมองเสื่อมอัลไซเมอร์
แต่เคอร์คูมินสารสีทองในขมิ้นชันนั้นจะถูกดูดซึมได้น้อยและเหลืออยู่ในร่างกายไม่น้อยมาก เนื่องจากถูกตับกำจัดหรือขับออกจากร่างกายอย่างรวดเร็ว มีการศึกษาวิจัยที่พบวิธีการเพิ่มระดับเคอร์คูมินในกระแสเลือดให้สูงขึ้นได้ โดยการรับประทานคู่กับพริกไทย ผักผลไม้ ธัญพืชและปลาที่มีไขมันดี ฯลฯ โดยเฉพาะพริกไทยดำจะมีสารพิเพอริน Plperine ที่มีงานวิจัยพบคุณสมบัติช่วยในการดูดซึมสารเคอร์คูมินและเพิ่มประสิทธิภาพขึ้นถึง 2,000% ในเวลา 45 นาที ที่รับประทานร่วมกัน
พริกไทยดำ (Black pepper)
พริกไทยดำ คือการใช้ผลพริกไทยที่ยังไม่สุก แต่แก่เต็มที่ นำไปตากแดดให้แห้ง ผลพริกไทยจะแห้งและเปลี่ยนเป็นสีดำ จะไม่ปลอกเปลือก หากเป็นพริกไทยขาว (White pepper) หรือพริกไทยล่อน จะได้มาจากการนำผลพริกไทยสุกไปแช่น้ำเพื่อให้ง่ายต่อการลอกเปลือกออก แล้วจึงนำไปตากให้แห้ง
โดยพริกไทยดำนั้นเป็นวัตถุดิบหรือเครื่องปรุงอาหารไทยและเทศชั้นเลิศ รวมไปถึงเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณรักษาและบำบัดโรคในตำรับยาไทยอีกมากมาย ด้วยพริกไทยดำนั้นอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระสูง ที่มีส่วนช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ช่วยในการรักษาโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัด ไอ จาม ไอมีเสมหะ และพริกไทยดำยังมีสารไฟโตนิวเทรียนท์ ที่มีส่วนช่วยในการสลายไขมันส่วนเกิน ลดน้ำหนัก ช่วยเร่งการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย
พริกไทยดำอุดมไปด้วยสารสำคัญชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า พิเพอริน (Piperine) ซึ่งเป็นสารอัลคาลอยด์ที่ทำให้เกิดกลิ่นฉุนและเผ็ดเป็นองค์ประกอบหลัก และตัวสารพิเพอรินเองก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน เช่น บรรเทาอาการคลื่นไส้ ปวดหัว อาหารไม่ย่อย และยังมีฤทธิ์ช่วยต้านอักเสบ แต่สิ่งที่สำคัญคือ
สารพิเพอรินในพริกไทยดำช่วยเพิ่มการดูดซึมสารเคอร์คูมินเข้าสู่ร่างกาย และยับยั้งกระบวนการกำจัดเคอร์คูมินโดยตับอีกด้วย
สารพิเพอรีน (Piperine) ในพริกไทยดำมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ antioxidant ที่มีส่วนช่วยชะลอการอักเสบของเซลล์ ช่วยลดการก่อตัวของแอมีลอยด์พลาก (Amyloid Plaques) ในสมอง ซึ่งเป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคอัลไซเมอร์อีกด้วย
วิตามินอี (Vitamin E)
วิตามินอี คือหนึ่งในสารอาหาร 5 หมู่ ที่มีคุณประโยชน์จำเป็นต่อร่างกายในด้านสุขภาพและความงาม วิตามินอีเป็นหนึ่งในวิตามินที่ละลายในไขมันได้ดี ร่างกายจำเป็นต้องใช้วิตามินอีในกระบวนการต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระ ป้องกันการอักเสบ และเป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์
โดยร่างกายของคนเราจะใช้วิตามินอีเพื่อช่วยทำให้มีปฏิกิริยาในร่างกายเกิดขึ้น ส่งผลให้การทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายเป็นไปตามปกติ หรือพูดง่าย ๆ คือ
วิตามินอีเปรียบเสมือนน้ำมันหล่อลื่นในรถยนต์ที่จำเป็นต้องมี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ antioxidant แต่ไม่ได้ให้พลังงานแก่รถ นั่นคือ วิตามินอีไม่สามารถให้พลังงานโดยตรงกับร่างกาย แต่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับวิตามินอีเพื่อไปทำหน้าที่เปลี่ยนอาหารให้เป็นพลังงาน คนเราต้องการวิตามินอีในปริมาณที่น้อยแต่ขาดไม่ได้
วิตามินอีมีอยู่ในอาหารธรรมชาติประเภทพืช ผักและผลไม้ อาหารจำพวกถั่ว อาหารทางการแพทย์ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ครีมทาผิว โลชั่นบำรุงผิว และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่การเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุก สด ใหม่ สะอาด และมีความหลากหลายจะทำให้ได้รับวิตามินอีที่ครบถ้วน ส่งผลให้สุขภาพร่างกายมีการทำงานที่สมบูรณ์เป็นไปอย่างปกติ
วิตามินซี (Vitamin C)
วิตามินซี เป็นวิตามินที่มีความจำเป็นต่อร่างกายเป็นอย่างมาก เป็นวิตามินที่ร่างกายผลิตขึ้นมาเองไม่ได้ แต่มีอยู่ในอาหารที่ได้มาจากธรรมชาติมากมาย อาทิ ผักผลไม้
โดยคุณประโยชน์หลัก ๆ ของวิตามินซีที่นอกจากจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรง ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บแล้ว
วิตามินซี ยังมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ antioxidant ที่มีส่วนช่วยในกระบวนการต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระ ช่วยในการสร้างคอลลาเจนที่ดีต่อผิวหนัง เหงือก ฟัน กระดูก กระดูกอ่อน ช่วยในการคืนสภาพของรีดิวซ์วิตามินอี และดีต่อระบบประสาทอีกด้วย
ซึ่งโดยปกติแล้วเราสามารถเลือกเติมวิตามินซีให้สุขภาพหรือป้องกันการขาดวิตามินซีในร่างกายได้ด้วยการกินผักและผลไม้ให้เพียงพอหรือโดยการกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารวิตามินซี
จริง ๆ แล้ว ความจำเป็นในการบริโภควิตามินซีจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่การบริโภควิตามินซีอย่างเพียงพอไม่เพียงแต่มีความปลอดภัยเท่านั้น ยังจำเป็นต่อการมีสุขภาพที่ดีอีกด้วย ซึ่งจากผลการศึกษามากมาย แนะนำให้มีการบริโภคผักและผลไม้มากกว่า 5 ส่วนต่อวัน และกินผลิตภัณฑ์อาหารเสริมวิตามินซี1 กรัม โดยแบ่งเป็น 2 หรือ 3 มื้อระหว่างวัน เพื่อให้มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง นอกจากนี้ ผู้ชาย ผู้สูงวัย ผู้ที่มักมีความเครียด และผู้ที่ชอบสูบบุหรี่ อาจมีความจำเป็นในการบริโภควิตามินซีเพิ่มมากขึ้นเพื่อการมีสุขภาพที่ดี และวิตามินซีสามารถถูกทำลายได้ด้วยแสงแดด ความร้อน หรือจากการปรุงอาหารที่ใช้ความร้อนสูง หรือการใช้เวลาปรุงอาหารเป็นเวลานานที่อาจทำให้วิตามินซีสลายหายไปได้ และการกินผักผลไม้สุกหรือดิบที่ไม่ได้ผ่านการปรุงจะทำให้ได้รับวิตามินซีมากที่สุดนั่นเอง
สารต้านอนุมูลอิสระที่มีส่วนป้องกันร่างกายไม่ให้เสื่อมเร็วนั้นมีมากมายอยู่ในพืชผักผลไม้และเนื้อสัตว์ที่เป็นอาหารของมนุษย์เรา แต่ด้วยไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต พฤติกรรมในการกินของแต่ละคนในแต่ละมื้อ อาจไม่ครบหลักอาหาร 5 หมู่ ที่มีส่วนทำให้ร่างกายขาดวิตามิน แร่ธาตุบางชนิด และสารอาหารที่จำเป็นและมีสารต้านอนุมูลอิสระธรรมชาติ และทำให้มีความจำเป็นต้องหาอาหารเสริมต่าง ๆ เพื่อมาชดเชยซ่อมแซมในส่วนที่ขาดหายไปนั่นเอง
อาหารเสริมในกลุ่มต่อต้านอนุมูลอิสระหรือสารแอสต้าแซนทีน ควรเป็นพื้นฐานแรกของการเลือกผลิตภันฑ์เสริมอาหารเพื่อช่วยดูแลสุขภาพได้ทั่วทั้งร่างกาย โดยเฉพาะท่านที่ชอบความสะดวก ง่าย และไม่อยากรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหลากหลายชนิดให้ปวดหัว ก็ลองศึกษาเพื่อเลือกอาหารเสริมในกลุ่มต้านอนุมูลอิสระหรือสารแอสต้าแซนทีนที่รวมครบจบด้วยคุณประโยชน์ต่อร่างกายมารับประทานกัน

ที่มา:
[1] ทฎษฎีความชรา / มรภ.บ้านสมเด็จเจ้าพระยา
[2] ศาสตร์การชะลอวัย / มรภ.บ้านสมเด็จเจ้าพระยา
[3] Antioxidant สารต้านออกซิเดชัน / Food Network Solution ศูนย์เครือข่ายข้อมูลอาหาร
[4] แอสตาแซนทิน / Pobpad ข้อมูลสุขภาพที่ครบถ้วนและเชื่อถือได้
[5] สาหร่ายกับประโยชน์ด้านสุขภาพและการชะลอวัย / วารสารพยาบาลทหารบก
[6] แอสตาแซนทิน เวชศาสตร์แห่งการชะลอวัย / SGE CHEM
[7]Astaxanthin สุดยอดสารต้านอนุมูลอิสระ มีข้อมูลแค่ไหน จะสุดยอดเหมือนโฆษณาหรือเปล่า
[8] บทบาทและการออกฤทธิ์ของแอสตาแซนทินในทางคลินิก
[9] แอสตาแซนธินมีพลังที่ไม่มีสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นเทียบได้
[10] ขมิ้นชัน / ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
[11] โครงงานวิจัยทางเภสัชศาสตร์ เรื่อง การพัฒนาผลิตภัณฑ์มาส์กหน้าจากสารสกัดธรรมชาติขมิ้นชัน