หัวใจที่อ่อนเยาว์และแข็งแรงเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของการมีสุขภาพดี เพราะ
ทั่วโลกพบสถิติการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของโลก (ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และมีมากถึงปีละ 7 หมื่นราย เฉลี่ยชั่วโมงละ 8 คน ในประเทศไทย โดยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปีอีกด้วย (ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข ปี 2565)
จริง ๆ แล้วโรคที่เกี่ยวกับหัวใจหรือภาวะต่าง ๆ ที่ส่งผลเสียต่อหัวใจ อาทิ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ, หัวใจวาย, ภาวะหัวใจล้มเหลว เป็นต้น มักถูกเรียกให้เข้าใจง่าย ๆ ว่า โรคหัวใจ และเมื่อหัวใจทำงานได้ไม่ดีหรือมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับหัวใจ ก็จะทำให้ระบบการหมุนเวียนเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะ เนื้อเยื่อ และเซลล์หลายล้านตัวไม่เพียงพอ เกิดผลเสียร้ายแรงต่อระบบอื่น ๆ ของร่างกายตามมา
หัวใจเป็นหนึ่งในอวัยวะสำคัญมากของร่างกาย มีขนาดประมาณกำปั้นและมีน้ำหนักระหว่าง 300 ถึง 450 กรัม ตำแหน่งของหัวใจจะอยู่ตรงกลางหน้าอก ด้านหลัง และด้านซ้ายของกระดูกหน้าอกเล็กน้อย เป็นศูนย์กลางของระบบไหลเวียนโลหิต เป็นกล้ามเนื้อที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทุกส่วนทั่วร่างกาย ผ่านระบบเครือข่ายของหลอดเลือดที่มีหลอดเลือดแดง หลอดเลือดดำ เส้นเลือดฝอย เพื่อนำเลือดที่มีออกซิเจนและสารอาหารต่าง ๆ ที่อวัยวะทุกส่วนในร่างกายต้องการ สำหรับใช้ในกระบวนการทำงานของร่างกาย โดยหัวใจต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมง และหากเกิดความผิดปกติต่อหัวใจ เช่น เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด ที่เกิดจากภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบตัน ส่งผลให้หัวใจขาดเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและกล้ามเนื้อหัวใจตาย เกิดภาวะหัวใจวายและเสียชีวิตได้นั่นเอง และปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดล้วนมาจาก...
- ชอบกินอาหารรสเค็มจัด
- ชอบกินอาหารที่มีไขมันสูง
- ไม่ออกกำลังกาย
- สูบบุหรี่
- สตรีที่กินยาคุมกำเนิด
- สตรีหลังหมดประจำเดือน
- เป็นโรคความดันโลหิตสูง
- มีภาวะโรคเบาหวาน
- มีภาวะเป็นโรคอ้วน หรือน้ำหนักตัวเกินพอดี
- มีความเครียด
- มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด
และอีกสาเหตุหลักของการเกิดภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบตันก็มาจากสารอนุมูลอิสระรวมตัวกับไขมันที่อยู่ในกระแสเลือดและเกิดเป็นก้อนไขมันในเลือด เกาะยึดที่ผนังชั้นในของหลอดเลือดและเพิ่มปริมาณมากขึ้นจนเกิดการตีบหรืออุดตันในที่สุด
อนุมูลอิสระ (Free radical) เป็นสารที่ไม่เสถียร เป็นเพียงโมเลกุลที่อยู่เพียงตัวเดียว (ไม่มีคู่) และเกิดขึ้นเองได้จากการที่ร่างกายเกิดจากกระบวนการเผาผลาญอาหาร จากการหายใจ จากความเครียด จากความอ่อนเพลีย และจากปัจจัยกระตุ้นภายนอกร่างกาย ได้แก่ มลพิษ รังสียูวี ฝุ่น ควันบุหรี่ รวมถึงการกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ จำพวก อาหารที่มีไขมันสูง อาหารที่ผ่านความร้อนสูง เป็นต้น แต่อนุมูลอิสระจำนวนมากเกิดมาจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน
กระบวนการออกซิเดชัน (Oxidation) คือปฏิกิริยาที่โมเลกุลหรืออะตอมสูญเสียอิเล็กตรอนไปให้โมเลกุลหรืออะตอมอื่น ทำให้เจ้าอนุมูลอิสระเป็นสารที่ไม่เสถียร มีเพียงตัวเดียวไม่มีคู่ ต้องไปจับคู่กับสารอื่นในร่างกาย เกิดการถ่ายโอนอิเล็กตรอนเพื่อทำให้ตัวเองเสถียร และสารที่ถูกอนุมูลอิสระจับคู่ ก็จะเปลี่ยนเป็นอนุมูลอิสระตัวใหม่ และไปทำการจับคู่กับสารอื่นอย่างต่อเนื่อง เกิดเป็นอนุมูลอิสระจำนวนมาก เรียกว่าปฏิกิริยาออกซิเดชันแบบลูกโซ่ (กระบวนการออกซิเดชัน มีหลายรูปแบบ เช่น เราหายใจเอาออกซิเจนเข้าไป แล้วไปเผาผลาญอาหารที่กินเข้าไปเป็นพลังงาน แต่ก็ทำให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้นมาด้วย กระบวนการออกซิเดชันในการย่อยสลายสารอาหารจำพวกโปรตีนและไขมันที่กินเข้าไป กระบวนการออกซิเดชันที่ทำให้เหล็กกลายเป็นสนิม กระบวนการออกซิเดชันที่ทำให้แอปเปิลเปลี่ยนจากสีสดเป็นสีน้ำตาล กระบวนการออกซิเดชันทำให้น้ำมันพืชเหม็นหืน)
อนุมูลอิสระตัวการทำร้ายหัวใจ
อนุมูลอิสระอยู่ในร่างกายตั้งแต่เกิด ซึ่งในช่วงวัยเยาว์ไปจนถึงวัยรุ่นร่างกายยังสามารถต่อต้านหรือกำจัดอนุมูลอิสระได้ดีในระดับหนึ่ง แต่เมื่อเข้าสู่วัยทำงาน ชีวิตความเป็นอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยมลภาวะ ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ ล้วนเป็นปัจจัยในการทำให้เกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย วัยที่มีอายุมากขึ้นเกิดภาวะเซลล์เสื่อมสภาพ หรือร่างกายอ่อนแอ ขาดการออกกำลังกาย มีความเครียด ภูมิคุ้มกันร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับอนุมูลอิสระได้ โดยในผู้ที่มีพฤติกรรมการกินอาหารที่เต็มไปด้วยอาหารไขมันสูงยิ่งเป็นการเพิ่มปริมาณของไขมันเลว (LDL) หรือที่เรียกว่า คอเลสเตอรอล สะสมในร่างกายเป็นจำนวนมาก ทำให้อนุมูลอิสระตัวร้ายไปทำปฏิกิริยากับคอเลสเตอรรอล LDL เกิดเป็นคอเลสเตอรรอลสนิมที่เรียกว่า Oxidized Cholesterol หรือ Oxidized LDL หรือกลายเป็นไขมันเสื่อมสภาพเกาะติดกับผนังของหลอดเลือด และเมื่อมีปริมาณมากขึ้น จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หลอดเลือดตีบ (ลองนึกภาพท่อน้ำที่มีสนิมเพิ่มจำนวนมากขึ้น ทำให้น้ำไหลผ่านได้น้อยลง และท่อน้ำยังเสื่อมสภาพ เปราะบางรอเวลาชำรุดเสียหายนั่นเอง)
และยังไม่มีสารประกอบใด ๆ เลยที่สามารถป้องกันการเกิดออกซิเดชันในร่างกายได้ทั้งหมด ซึ่งแต่ละระบบของร่างกายอาจต้องใช้สารต้านอนุมูลอิสระที่แตกต่างกันในการหยุดกระบวนการออกซิเดชันที่เกิดขึ้นในร่างกาย (เนื่องจากสารอนุมูลอิสระเองก็มีมากมายหลายประเภท เกิดจากธาตุหลายชนิด และต่างกระบวนการออกซิเดชัน จึงต้องใช้สารต้านอนุมูลอิสระที่แตกต่างกัน)
สารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) คือสารประกอบที่สามารถชะลอหรือป้องกันการเกิดกระบวนการออกซิเดชัน เป็นสารที่จะจับคู่กับอนุมูลอิสระทำให้เกิดความเสถียร ช่วยยับยั้งหรือชะลอการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันกับสารต่าง ๆ ในร่างกายได้
และมีส่วนช่วยปกป้องร่างกายของคุณจากโรคหัวใจเสมือนวิตามินบำรุงหัวใจ ด้วยการจับคู่กันกับอนุมูลอิสระเพื่อให้เกิดความเสถียร แต่ไม่ได้ถูกเปลี่ยนเป็นตัวอนุมูลอิสระ เป็นการช่วยต่อต้านการทำงานของอนุมูลอิสระ ยับยั้งหรือชะลอการเพิ่มปริมาณของอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยปรับปรุงความสมดุลระหว่างอนุมูลอิสระและสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งในร่างกายของคนเรามีสารต้านอนุมูลอิสระที่ถือเป็นกลไกในการกำจัดอนุมูลอิสระอยู่แล้ว โดยอาจได้รับมาจากวิตามิน เกลือแร่และสารอาหารต่าง ๆ ที่เรากินเข้าไปอย่างเพียงพอในแต่ละวัน ก็จะมีคุณสมบัติของสารต้านอนุมูลอิสระที่พอเพียงในการรักษาสมดุลเพื่อต่อต้านอนุมูลอิสระไม่ให้สามารถทำร้ายหัวใจ และเป็นวิตามินบำรุงหัวใจของเราได้
ดูแลหัวใจให้อ่อนเยาว์ ด้วยพลังต้านอนุมูลอิสระ
รู้ไหมว่า สารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ยังมีอยู่ในรูปแบบที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเองได้นั่นก็คือ โคเอ็นไซม์ คิวเท็น (coenzyme q10) หรือ (CoQ10) หรือ ยูบิควิโนน (ubiquinone) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระธรรมชาติที่ร่างกายสังเคราะห์ขึ้นมาเองได้เป็นส่วนใหญ่ และได้รับจากอาหารเป็นส่วนน้อยเท่านั้น โดยโคเอ็นไซม์ คิวเท็น (coenzyme q10) มีความจำเป็นต่อกระบวนการหายใจระดับเซลล์แบบใช้ออกซิเจนซึ่งเป็นกระบวนการสร้างพลังงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
โคเอ็นไซม์ คิวเท็น (coenzyme q10) พบเป็นจำนวนมากในอวัยวะสำคัญของร่างกาย เช่น หัวใจ ตับ สมอง กล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นอวัยวะที่ต้องการพลังงานสูง ส่วนในอวัยวะอื่น ๆ ก็พบโคเอ็นไซม์ คิวเท็น (coenzyme q10) เช่นกัน แต่ในปริมาณที่ค่อนข้างน้อย โคเอ็นไซม์ คิวเท็น (coenzyme q10)
เมื่ออายุมากขึ้นปริมาณ โคเอ็นไซม์ คิวเท็น (coenzyme Q10) จะลดลงขึ้นอยู่กับชนิดของเซลล์และอวัยวะส่วนนั้น ๆ เนื่องจากเซลล์แต่ละชนิดใช้พลังงานในระดับที่ไม่เท่ากัน และสร้างพลังงานให้แก่ร่างกายแตกต่างกัน ปริมาณโคเอ็นไซม์ คิวเท็น (coenzyme Q10) ในร่างกายจะเพิ่มมากขึ้นเป็น 3-5 เท่าเมื่ออายุแรกเกิดจนถึง 21 ปี และเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่องเมื่ออายุมากกว่า 21 ปี แต่โดยเฉลี่ยจะลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่ออายุ 30 ปีขึ้นไป ในขณะที่อัตราการเกิดอนุมูลอิสระยังเท่าเดิม ซึ่งในผู้ที่ร่างกายมีโคเอ็นไซม์ คิวเท็น (coenzyme q10) ลดลงนั้น มีส่วนทำให้การหายใจระดับเซลล์แบบใช้ออกซิเจนมีประสิทธิภาพในการสร้างพลังงานลดลงตามไปด้วย เซลล์หรืออวัยวะต่าง ๆ ก็จะทำงานได้ไม่เต็มศักยภาพ ส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลีย หัวใจเกิดการเจ็บป่วย และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องตามมา หรือในผู้ที่ป่วยด้วยโรคทางพันธุกรรมที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ โคเอ็นไซม์ คิวเท็น (coenzyme q10) ขึ้นมาเองได้ และผู้ที่มีปริมาณ โคเอ็นไซม์ คิวเท็น (coenzyme q10) ในเลือดน้อย จำเป็นจะต้องได้รับสารโคเอ็นไซม์ คิวเท็น (coenzyme q10) จากแหล่งอาหารภายนอกเพื่อเข้าไปทดแทน จำพวก อาหารทะเล ปลาทะเลน้ำลึก น้ำมันปลา เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ถั่วต่าง ๆ และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโคเอ็นไซม์ คิวเท็น (coenzyme q10) เป็นต้น
ร่างกายของคนทั่วไปควรได้รับโคเอ็นไซม์ คิวเท็น (coenzyme Q10) ในปริมาณวันละ 30 มก.ต่อวัน เพื่อให้มีสุขภาพที่แข็งแรงดี เทียบเท่ากับการรับประทานปลาซาร์ดีน 480 กรัม หรือเนื้อวัว 900 กรัม หรือถั่วลิสง 1,150 กรัม
โคเอ็นไซม์ คิวเท็น (coenzyme Q10) มี 3 หน้าที่หลัก ๆ ได้แก่
- สร้างพลังงานให้เซลล์
- ป้องกันและต่อต้านอนุมูลอิสระ
- ลดการสะสมของไขมันบริเวณผนังหลอดเลือด และป้องกันไขมันเลวหรือคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (Low-density lipprotein หรือ LDL)
3 หน้าที่สำคัญนี้ แสดงให้เห็นถึงความชัดเจนว่า
โคเอ็นไซม์ คิวเท็น (coenzyme q10) ถูกร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นวิตามินบำรุงหัวใจให้กับคนเรา โดยช่วยลดภาวะหลอดเลือดแข็งตัวด้วยการจำกัดปริมาณของไขมันที่จะไปสะสมบนผนังหลอดเลือด และลดการสะสมของคอเลสเตอรอลในเลือด นอกจากนี้ยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ ช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายโดยเฉพาะเซลล์ที่กล้ามเนื้อหัวใจ
จากงานวิจัย พบว่า
โคเอ็นไซม์ คิวเท็น (coenzyme q10) มีส่วนช่วยในการป้องกันความเสียหายของกล้ามเนื้อหัวใจระหว่างการผ่าตัด โดยมีการทดลองให้โคเอ็นไซม์ คิวเท็น (coenzyme q10) กับผู้ป่วยก่อนการผ่าตัด และพบว่าการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจฟื้นฟูดีขึ้น
การดูแลสุขภาพของหัวใจให้อ่อนเยาว์ จำเป็นต้องพยายามเพิ่มแหล่งอาหารที่มีสารโคเอ็นไซม์ คิวเท็น (coenzyme q10) เนื่องจากการสังเคราะห์ของโคเอ็นไซม์ คิวเท็น (coenzyme q10) มีวิถีร่วมกันกับการสังเคราะห์ของคอเลสเตอรอล จึงมีผลการศึกษาพบว่า การรับสารโคเอ็นไซม์ คิวเท็น (coenzyme q10) ในรูปแบบการรับประทานร่วมกับการใช้ยาในกลุ่มสแตติน (statin เป็นกลุ่มของยาลดไขมันในเลือด ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี LDL ช่วยลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ และช่วยลดความเสี่ยงต่าง ๆ ในการเกิดโรคเกี่ยวกับหัวใจ) จะช่วยเพิ่มการลดระดับของคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอร์ไรด์ และช่วยเพิ่มระดับของไขมันดี HDL ในเลือดของผู้ป่วย ส่งผลดีต่อระบบการทำงานของหัวใจและหลอดเลือดได้
จากการวิจัยต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่าสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) มีประโยชน์ในการดูแลสุขภาพหัวใจของคุณให้อ่อนเยาว์ และสามารถช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่คุณสามารถได้รับคุณประโยชน์จากการรับประทานและควรยกให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพหัวใจคุณ โดยมีการค้นคว้าและวิจัย พบว่า
มะกอก มีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจและลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
มะกอก มีน้ำมันมากกว่าร้อยละ 40 ที่มีส่วนประกอบของกรดไขมันไม่อิ่มตัวมากถึงร้อยละ 55-83 ส่วนใหญ่จะเป็นกรดโอเลอิกที่มีส่วนช่วยลดไขมันในเลือด และเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ในกลุ่มฟินอล ที่ชื่อไฮดรอกซีไทโรซอล (Hydroxytyrosol) ซึ่งพบว่ามีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 50% ของโพลีฟีนอลทั้งหมด ทำให้เกิดการยังยั้งการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของคอเลสเตอรอล หรือไขมันชนิดเลว (LDL) ตัวต้นเหตุของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด คือระหว่าง 4-20 มล./วัน รวมไปถึงมีส่วนช่วยในการเพิ่มไขมันดี (HDL) อีกด้วย โดยสารสำคัญในมะกอกนี้มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี จึงนิยมนำผลมะกอกไปสกัดเอาน้ำมัน (Olive Oil) มาปรุงประกอบอาหารนั่นเอง
มีผลการศึกษาหนึ่งในปี 2014 ที่ทำการศึกษาในผู้ใหญ่ 7,216 คน ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคหัวใจ พบว่าผู้ที่บริโภคน้ำมันมะกอกมากที่สุด มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจลดลง 35% นอกจากนี้ การบริโภคน้ำมันมะกอกในปริมาณที่มากขึ้นยังสัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคหัวใจได้ถึง 48%
ปัจจุบันนี้ มีความนิยมในการบริโภคน้ำมันมะกอกมากขึ้น หรือถูกนำมาเป็นส่วนหนึ่งในอุตสาหกรรมการผลิตที่หลากหลายรูปแบบ เช่น การผลิตน้ำมันนวด น้ำมันบำรุงผิว ผลิตสบู่ เป็นต้น และล่าสุดได้มีการวิจัยและพัฒนาสารสกัดจากมะกอกให้มีคุณสมบัติและประสิทธิภาพสูงกว่าน้ำมันมะกอกทั่วไป ด้วยกรรมวิธีการสกัดที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุด สู่สารสกัดจากมะกอก (Olive Extract) ที่ยังคงคุณค่าสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) และสารอาหารทางโภชนาการที่มีประโยชน์ของมะกอกไว้ได้มากกว่าน้ำมันมะกอกที่ผลิตด้วยวิธีทั่วไป และยกให้เป็นวิตามินบำรุงหัวใจที่ควรมีไว้ติดบ้านอีกชนิดหนึ่ง
ลดเสี่ยงโรคหัวใจ พร้อมดูแลหัวใจให้อ่อนเยาว์
โคเอ็นไซม์ คิวเท็น (coenzyme q10) และ
สารสกัดจากมะกอก ล้วนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ที่เปรียบเสมือนวิตามินบำรุงหัวใจ และสามารถปกป้องร่างกายของคุณจากโรคมะเร็ง และโรคอื่นๆ โดยการต่อต้านอนุมูลอิสระที่พบในร่างกายอันเป็นผลมาจากการใช้ชีวิตและมีพฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ โดยใครที่รู้ตัวเองว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยงดังต่อไปนี้ ควรได้รับการเสริมประโยชน์ดี ๆ จากโคเอนไซม์ คิวเท็น และ สารสกัดจากมะกอก
- ผู้ที่พักผ่อนน้อย
- ผู้ขาดการออกกำลังกาย
- ผู้ที่ชอบกินอาหารที่อุดมไปด้วยไขมัน โซเดียม และน้ำตาลสูง
- ผู้ที่ชื่นชอบอาหารไม่มีประโยชน์ และไม่ชอบกินผักผลไม้
- ผู้ที่เครียดกับทุกเรื่องในชีวิต
- ผู้ที่สูบบุหรี่และดื่มสุรา
- ผู้ที่มีความเสี่ยงเรื่องโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง
- ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยง่าย หรือภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง
- นักกีฬา และผู้สูงอายุ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการหายใจของเซลล์แบบใช้ออกซิเจน
ที่มา
[1] อนุมูลอิสระ / มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
[2] การทำงานของหัวใจ
[3] หัวใจ / บทความด้านสุขภาพจากผู้เชี่ยวชาญ
[4] 17 อาหารเพื่อสุขภาพหัวใจที่น่าทึ่ง / น้ำมันมะกอก
[5] พลังแห่งสารต้านอนุมูลอิสระ
[6] 6 อาหารอุดมด้วยสารอาหารจากธรรมชาติเพื่อสุขภาพหัวใจที่ดี
[7] อาหารเสริมสุขภาพหัวใจ 8 ชนิด
[8] สารต้านอนุมูลอิสระเพื่อสุขภาพหัวใจ
[9] สารต้านอนุมูลอิสระ
[10] รู้จักกับโคเอนไซม์คิวเทน ประโยชน์และการบริโภคอย่างปลอดภัย
[11] หลอดเลือดหัวใจอุดตันยับยั้งได้ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (ตอนที่ 1) / มูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
[12] สารต้านอนุมูลอิสระ คืออะไรแน่?
[13] ผลไม้กับสุขภาพจากประโยชน์ของสารพฤกษเคมี
[14] กรมควบคุมโรค / ร่วมรณรงค์วันหัวใจโลก 2566
[15] บทฟื้นฟูวิชาการ โคเอ็นไซม์ คิวเท็น Coenzyme Q10 จากเคมีพื้นฐานสู่การประยุกต์ในทางการแพทย์ / ศรีนครินทร์เวชสาร 2556
[16] ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง / โคเอ็นไซม์คิวเท็น