ความเครียด เป็นกลไกตามธรรมชาติของคนเราที่ใช้ตอบสนองต่อสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น ฝืนทำในสิ่งที่ไม่ชอบ ไม่ได้ทำสิ่งที่อยากทำ เกิดการแข่งขัน การคาดหวัง อยู่ในสถานการณ์เสี่ยงอันตราย ภาวะว่างงาน ความสัมพันธ์กับเพื่อน ครอบครัว ฯลฯ เป็นภาวะที่มีความวิตกกังวลหรือไม่สบายใจ
ภาวะความเครียดเป็นระบบเตือนภัยของร่างกายให้เตรียมพร้อมรับมือหรือกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง การมีความเครียดก็มีส่วนดี เช่น เกิดความตื่นเต้น ความท้าทาย และความสนุก แต่ถ้าเครียดมากเกินไปก็จะไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ ซึ่งส่วนใหญ่ เวลาเครียดก็จะมีอาการปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ หัวใจเต้นเร็ว มือเท้าเย็น แต่รู้ไหมว่า ยิ่งเครียด สุขภาพก็ยิ่งแย่
เมื่อมีภาวะความเครียด ร่างกายเกิดการกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติก และกระตุ้นการหลั่งคอร์ติซอล (ฮอร์โมนความเครียด) จากต่อมหมวกไตให้อวัยวะต่าง ๆ ตื่นตัว เพื่อเตรียมร่างกายเข้าสู่ภาวะเตรียมพร้อมสู้หรือหนี โดยจะมีการแสดงอาการ คือ ใจเต้นรัว ความดันเลือดสูง หลอดเลือดหดตัว หายใจสั้นและถี่ เป็นอาการผิดปกติของร่างกายที่หากอยู่ในภาวะเครียดนาน ๆ ร่างกายและจิตใจจะได้รับผลกระทบจากอาการผิดปกติเหล่านี้ และทำให้เสี่ยงเกิดโรคที่มาจากความเครียด ได้แก่...
โรคปวดศีรษะไมเกรน
ความเครียดส่งผลให้สารเซโรโทนิน (Serotonin) ในสมองขาดพร่องไป ทำให้หลอดเลือดเกิดการพองขยายและหดตัวมากกว่าปกติ ส่งผลให้มีอาการปวดหัวไมเกรนนั่นเอง
โรคหัวใจขาดเลือด
ความเครียดส่งผลต่อหลอดเลือดและหัวใจ ทำให้เกิดความผิดปกติของระบบประสาทซิมพาเทติก ทำให้เกิดภาวะหัวใจขาดเลือดทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น และเร่งให้เกิดการทำลายชั้นเซลล์ของผนังหลอดเลือดแดง
โรคความดันโลหิตสูง
มีการศึกษาพบว่า ในผู้ที่มีความเครียดสะสมเป็นเวลานาน มีโอกาสเป็นโรคความดันโลหิตสูงมากกว่าคนปกติถึง 2 เท่า นอกจากนี้ในผู้ที่มีภาวะความเครียดจากงานซึ่งมีผลมาจากความทะเยอทะยานสูงโดยขาดการยับยั้งใจ จะทำให้ความดันโลหิตสูงและหัวใจช่องซ้ายโต
โรคทางเดินอาหาร
หากมีภาวะเครียดสะสมเป็นเวลานาน ร่างกายจะหลั่งน้ำย่อยในกระเพาะอาหารออกมามากกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการท้องอืด ลำไส้แปรปรวน กรดไหลย้อน
ปวดกล้ามเนื้อและนอนไม่หลับ
ความเครียดทำให้กล้ามเนื้อร่างกายตึง ปวดเมื่อย นอนท่าไหนก็ไม่สบายตัว ส่งผลให้การนอนหลับมีปัญหาอีกด้วย
โรคเบาหวาน
ความเครียดส่งผลโดยตรงทางด้านจิตใจซึ่งมีผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาล เพราะฮอร์โมนที่เกิดจากความเครียดจะผลกระทบต่อการตอบสนองของอินซูลิน ทำให้ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยโรคเบาหวานได้
โรคหอบหืด
ในผู้ป่วยที่มีประสบการณ์หายใจไม่ออกรุนแรงซ้ำ ๆ หรือเป็นโรคหอบหืด เมื่อเกิดความเครียดวิตกกังวลก็จะมีอาการหายใจเร็ว หายใจถี่ ส่งให้เกิดการกระตุ้นให้ร่างกายมีภาวะหอบหืดหนักขึ้นไปอีก
ภูมิแพ้
ความเครียดสามารถไปกดภูมิคุ้มกัน โดยผ่านฮอร์โมนชนิดหนึ่ง ในขณะเดียวกันความเครียดยังไปกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันอื่น ๆ และมีผลทำให้ระบบภูมิคุ้มกันพร่อง และอาจทำให้ติดเชื้อได้ง่าย
และตับอักเสบจากการติดสุรา (เวลาเครียดยิ่งดื่มหนัก), ถุงลมโป่งพองจากการติดบุหรี่ (เวลาเครียดยิ่งสูบบุหรี่หนัก), โรคอ้วน (เครียดทำให้หิวบ่อย), เป็นหวัดง่าย, มะเร็ง ฯลฯ เป็นต้น
วิธีรับมือหรือจัดการความเครียด
1. หมั่นอออกกำลังกาย
การออกกำลังกายสามารถช่วยลดความเครียดและจัดเป็นยาต้านเศร้าที่มีประสิทธิภาพ เพราะการออกกำลังกายทำให้ร่างกายหลั่งสารเซโรโทนิน (Serotonin) หรือสารเคมีรู้สึกดีที่ทำหน้าที่หลักในการควบคุมอารมณ์ ช่วยลดความเครียดได้ และต้องพยายามปรับทัศนคติของตัวเองให้สนุกกับกิจกรรมที่ทำ ไม่ฝืนทำหรือทำมากจนเกินไป จะส่งผลให้สูญเสียพลังสมองเป็นอย่างมาก
2. ฝึกการหายใจ
ฝึกการหายใจเพื่อคลายความเครียดด้วยการใช้กล้ามเนื้อกะบังลมบริเวณหน้าท้องแทนการหายใจที่ปกติเราใช้กล้ามเนื้อหน้าอก โดยการหายใจเข้าลึก ๆ นับ 1-4 ช้า ๆ จะรู้สึกว่าท้องพองออก หลังจากนั้นค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออก นับ 1-8 ไล่ลมหายใจออกมาให้หมด สังเกตว่าหน้าท้องจะแฟบ และทำแบบนี้ติดต่อกัน 4-5 ครั้ง ซึ่งการฝึกหายใจแบบนี้มีส่วนช่วยทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนมากขึ้น สมองสดชื่นแจ่มใสขึ้น
3. จัดตารางกิจกรรมและลงมือทำให้สำเร็จ
- จดบันทึกกิจกรรมที่จะทำ กำหนดตารางนัดหมายที่จะทำ ช่วยลดความกังวลในการจะทำสิ่งที่ตั้งใจ โดยจัดความสำคัญของสิ่งจำเป็นที่ต้องทำ และลดความสำคัญของสิ่งที่ยังรอได้
- การทำกิจกรรมที่เรากำหนดเป้าหมายไว้นั้นช่วยเพิ่มความรู้สึกว่า เราทำได้ และสามารถทำได้ทุกวันอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากกิจกรรมเล็ก ๆ เช่น ตื่นเช้ากว่าเดิม 30 นาที, กินมื้อเช้า, ดื่มน้ำเปล่าแทนน้ำอัดลม เป็นต้น
4. พูดคำขอบคุณจากความรู้สึก
การพูดคำขอบคุณเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกดี แต่การที่เราซึ่งเป็นผู้พูดจะรู้สึกดีไปด้วยนั้น อยู่ที่ความรู้สึกขอบคุณที่เกิดขึ้นภายในใจ เพราะความรู้สึกขอบคุณจะประกอบไปด้วยความซาบซึ้ง ความประทับใจ ซึ่งเป็นยาต้านความเครียดที่ได้จากธรรมชาติ เป็นการเพิ่มพลังบวกที่ช่วยเชื่อมโยงระหว่างสมองส่วนคิดกับสมองที่เกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึก
5. การหัวเราะคือยาวิเศษ
ขณะที่เราหัวเราะ ร่างกายจะหลั่งสารโดปามีน (dopamine) หรือสารแห่งความปิติยินดี ที่มีส่วนช่วยลดความเครียด และทำให้สารคอร์ติซอล (ฮอร์โมนความเครียด) กลับมาอยู่ในระดับที่สมดุล ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงขึ้น อีกทั้งการหัวเราะยังมีส่วนช่วยให้ออกซิเจนเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้ดีขึ้น ทำให้เกิดการไหลเวียนของเลือดที่ดี มีส่วนทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้น คลายความเศร้าหมอง จิตใจสงบ ช่วยให้สมาธิและความทรงจำดีขึ้น
ที่มา:
[1] ความเครียด เกิดจากตัวเราหรือฮอร์โมนเป็นตัวกำหนด
[2] เคล็ดลับบอกลาความเครียด
[3] แค่เครียดก็เสี่ยงโรค
[4] แบบประเมินความเครียด (ST-5) คัดกรองความเครียดได้ด้วยตัวเอง
[5] 13โรคที่เกิดจากความเครียด