ในยุค New Normal ที่สภาพแวดล้อมไม่สู้ดีนัก ทั้งค่าฝุ่น PM 2.5 ทั้งเชื้อโรคต่าง ๆ หรือแม้แต่สภาวะอากาศที่แปรปรวนบ่อย ๆ เราจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงหรือหาผลิตภัณฑ์สุขภาพ เพื่อดูแลสุขภาพชีวิตความเป็นอยูที่ดีในทุก ๆ วัน วันนี้เรามีไอเท็มสุขภาพที่อยากแนะนำ เป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพตัวอย่าง เช่น
1. เครื่องฟอกอากาศ
ต้องยอมรับว่า ในปัจจุบัน เครื่องฟอกอากาศได้กลายเป็นหนึ่งในไอเทมผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ทุกบ้านควรมีติดไว้ โดยเฉพาะบ้านที่ตั้งอยู่ในเมือง มีสัตว์เลี้ยงหรือที่อยู่ใกล้แหล่งก่อสร้าง เพราะได้รับฝุ่นละอองมากกว่าหลังที่อยู่ตามเขตชานเมือง นอกจากนี้ สำหรับการใช้ภายในรถยนต์เองก็ถือเป็นเรื่องจำเป็นเหมือนกันนะคะ โดยเฉพาะคนที่ต้องสัญจรครั้งละนาน ๆ เพื่อให้คุณได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์ เป็นมิตรกับสุขภาพมากขึ้น ทำให้คุณหายใจได้อย่างเต็มปอด แถมในปัจจุบัน เครื่องฟอกอากาศแบรนด์ต่าง ๆ ยังเพิ่มฟังก์ชันที่น่าสนใจอีกมากมาย เช่น ระบบอโรม่า ช่วยสร้างบรรยากาศในห้องและช่วยไล่ยุงไปในตัว นอกจากนี้ ยังมีหลากหลายขนาดให้เลือก เพื่อตอบโจทย์การใช้งานในทุก ๆ สถานที่ จึงทำให้เครื่องฟอกอากาศมีช่วงราคาที่กว้าง ตั้งแต่หลักพันถึงหลักหมื่น ใครที่กำลังสนใจจะสั่งซื้อจึงจำเป็นต้องศึกษาหาข้อมูลของสินค้าให้ดี
เกณฑ์คัดเลือกเครื่องฟอกอากาศที่ดีที่สุด
- ต้องมีค่า Air Volume หรือ Air Flow สูงๆ
เครื่องฟอกอากาศที่ดีที่สุดควรมีค่า Air Volume หรือ Air Flow สูง ๆ ยิ่งมากเท่าไหร่ ปริมาณอากาศที่ถูกกรองก็จะยิ่งเร็วขึ้นด้วย
- ต้องมีค่า CADR (Clean Air Delivery Rate) สูง ๆ
เครื่องฟอกอากาศที่ดีควรฟอกสิ่งสกปรกออกจากอากาศได้ปริมาณมาก ๆ ซึ่งค่านี้ยิ่งสูงมากเท่าไรก็จะทำให้ฟอกสิ่งสกปรกจากอากาศในหนึ่งนาทีได้มากเท่านั้น
- ต้องไม่มีเสียงดังเกินไป
Noise lever หรือระดับเสียง เสียงของเครื่องฟอกอากาศที่ดังอาจไม่ใช่สิ่งสำคัญหากวางในห้องโถงหรือห้องนั่งเล่น แต่หากเป็นในห้องนอนที่ต้องการความสงบ เสียงที่ดังเกินไม่ดีแน่
- ต้องกินไฟน้อย
เครื่องฟอกอากาศยอดนิยม ควรจะกินไฟน้อยเมื่อเทียบกับเครื่องฟอกอากาศที่มีสเปคใกล้เคียงกันสัก 2-3 เครื่องแบรนด์อื่น
- ราคาไม่แพงสมกับประสิทธิภาพ
เครื่องฟอกอากาศในปัจจุบันมีช่วงราคาเริ่มตั้งแต่หนึ่งพันบาทไปจนถึงเป็นหมื่นบาท ผู้ใช้จึงสามารถเลือกที่พอดีกับงบประมาณในกระเป๋าตัวเองได้ แต่ก็ไม่ควรแพงเกินแบรนด์อื่นที่มีเสปคเดียวกันมากนัก อีกทั้งควรมีใบรับประกันสินค้าให้ด้วย
2.เครื่องดื่มสมุนไพรเพื่อสุขภาพ ชา ขิงผงสำเร็จรูป อาหารเสริม วิตามินบำรุงร่างกาย จัดเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ ตัวอย่างไอเทมสุขภาพที่มีราคาไม่แพง แต่มีประโยชน์ต่อร่างกายภายในที่กำลังเป็นที่นิยม เพราะการรับประทานสมุนไพรนั้นได้ผลดีต่อสุขภาพ ไม่เป็นอันตรายหรือไม่มีอาการแพ้รุนแรงเมื่อเทียบกับยา และเคมีภัณฑ์ แต่ควรเลือกผลิตภัณฑ์สุขภาพคุณภาพดี ผ่านการรับรองจากหน่วยงานอาหารและยา รวมทั้งจำเป็นต่อร่างกายในการช่วยทดแทนภูมิคุ้มกันที่พร่องหายไปทุกวัน อย่างผลิตภัณฑ์สุขภาพเครื่อดื่มขิงผงสำเร็จรูป หรือไฟเบอร์ ทดแทนสารอาหารที่ร่างกายได้รับไม่พียงพอในแต่ละวัน หรือยาชงสมุนไพรชงดื่มก่อนนอน ที่มีส่วนช่วยในการขับถ่าย เป็นต้น
คนโบราณสมัยก่อน ท่านมักจะนำสมุนไพรประเภทต่าง ๆ มาใช้ประโยชน์ในรูปแบบสด ๆ โดยตรง เพื่อจะใช้ประโยชน์ในการรักษาโรคต่าง ๆ จากสมุนไพรให้ได้มากที่สุด และผลิตภัณฑ์สุขภาพในรูปแบบเครื่องดื่มน้ำสมุนไพรที่ได้รับความนิยมมากที่สุดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เช่น น้ำกระเจี๊ยบ น้ำขิง น้ำมะตูม น้ำเก็กฮวย ฯลฯ ซึ่งก่อนที่จะแปรรูปมาเป็นน้ำสมุนไพรเพื่อสุขภาพต่าง ๆ นั้น จำเป็นต้องนำเอาวัตถุดิบเหล่านั้นมาทำความสะอาด แล้วค่อยผ่านกระบวนการ อบ ฆ่าเชื้อโรค จากนั้นจึงนำไปเข้าเครื่องตัด สับ บด และต้มสกัด จนได้วัตถุดิบที่มีคุณภาพตามรูปแบบที่ต้องการ เช่น แบบผงละเอียด หรือของเหลวข้น ๆ แล้วนำมาผสมน้ำตาลก่อนเข้าเครื่องอบแล้วพาสเจอร์ไรซ์ บรรจุซอง เพื่อใช้และจำหน่ายต่อไป
เครื่องดื่มสมุนไพรชนิดบรรจุซองพร้อมชง ถือเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่ต้องมีติดบ้านไว้ อาจจะมีราคาค่อนข้างสูงกว่าการซื้อสมุนไพรสดมาต้มกินเอง แต่เครื่องดื่มสมุนไพรชนิดพร้อมชงนั้น ย่อมมีความสะดวก และให้คุณค่าทางยาคงที่กว่าสมุนไพรสดต้มอย่างแน่นอน ตัวอย่างเช่น
2.1 กระเจี๊ยบ เป็นพืชประเภทล้มลุก กระเจี๊ยบที่นิยมนำมาใช้คือ กระเจี๊ยบแดง (ส่วนกระเจี๊ยบขาว หรือกระเจี๊ยบมอญ ส่วนมากใช้ปรุงหรือประกอบอาหารประเภทแกง ผัด ต้ม นึ่ง เป็นต้น) มีสรรพคุณในการช่วยลดไขมันในเส้นเลือด แก้ไอ ขับเสมหะ ป้องกันนิ่ว แก้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ เป็นต้น
2.2 ขิง เป็นพืชประเภทล้มลุกที่มีคุณค่าทางสมุนไพรมากอีกชนิดหนึ่ง เพราะสามารถนำมาทำเป็นยาและอาหารได้ ด้วยสรรพคุณสำคัญที่ช่วยในการขับลม ปัจจุบันได้มีการพัฒนามาเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพขิงผง บรรจุซองสำหรับใช้ชงน้ำร้อนดื่ม แต่ควรเลือกผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ใช้ขิงแก่สดอายุประมาณ 11-12 เดือน จะมีสารจินเจอร์รอลสูงที่สุด (ส่วนมากจะมีน้ำตาลผสมอยู่) และสำหรับผู้ที่เริ่มดื่มผลิตภัณฑ์สุขภาพน้ำขิงหรือชื่นชอบการดื่มน้ำขิงที่มีรสหวาน ควรเลือกผลิตภัณฑ์สุขภาพขิงผงยี่ห้อที่ผสมหญ้าหวานสกัด หรือสารให้ความหวานแทนประเภทซูคราโลส เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวคุณเอง ส่วนขิงอ่อนนั้นส่วนมากมักถูกนำไปใช้ในการประกอบอาหาร ซึ่งสามารถรังสรรค์เป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพได้ทั้งประเภทผัดและประเภทต้ม
ขิง มีสรรพคุณโดดเด่นที่มีส่วนช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่นและป้องกันโรคหวัดได้ อีกทั้งขิงยังถูกใช้เป็นสมุนไพรหลักในตำราแพทย์แผนจีน ที่มีส่วนช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและฟื้นฟูการทำงานของลำไส้ แก้คลื่นไส้อาเจียน เมารถ เมาเรือ นอกจากนี้ เมื่ออุ่นให้ร้อนจะมีรสชาติที่เผ็ดมากขึ้น ทำให้ร่างกายอบอุ่น ช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรงอีกด้วย
2.3 มะตูม จัดเป็นประเภทไม้ยืนต้น ส่วนของผลมีลักษณะเปลือกแข็ง เมื่อผลมะตูมสุกจะมีรสชาติอร่อย สำหรับมะตูมที่ยังมีขนาดอ่อนสามารถนำมาหั่นเป็นแว่น แล้วนำไปตากแห้ง ชงเป็นชามะตูมดื่มอร่อยชื่นใจ และในปัจจุบันก็มีทั้งผลิตภัณฑ์สุขภาพมะตูมผงสำเร็จรูปและประเภทน้ำมะตูมบรรจุขวด (จะมีน้ำตาลผสม) ให้ผู้ที่ชื่นชอบการดื่มน้ำมะตูมได้ดื่มสะดวกชื่นใจ และยังได้ประโยชน์จะมะตูม เพราะมะตูมมีสรรพคุณในการเคลือบแผลในกระเพาะอาหาร แก้ท้องเสีย แก้ร้อนใน ช่วยในการระบายท้อง และผลมะตูมอ่อนยังสามารถนำไปผลิตเป็นของหวานที่เรียกว่า มะตูมเชื่อม (มะตูมแบบเกล็ดแห้งเป็นการถนอมอาหารเพื่อเก็บไว้กินได้นาน ๆ)
2.4 เก็กฮวย เป็นดอกไม้ที่ได้จากต้นเก็กฮวย (ในประเทศจีน) ส่วนมากจะใช้ดอกแห้งนำมาชงกับน้ำร้อนดื่ม สรรพคุณ แก้อาการร้อนใน ซึ่งในปัจจุบันมีการแปรูปเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพเก็กฮวยผงบรรจุซอง และเก็กฮวยน้ำบรรจุขวด (ผสมน้ำตาลสำเร็จรูป) และสามารถนำมาทำเครื่องดื่มได้ทั้งร้อนและเย็น (ใส่น้ำแข็ง หรือแช่ตู้เย็น)
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์สุขภาพน้ำสมุนไพรที่ได้กล่าวมานั้น เป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพน้ำสมุนไพรไทยที่มีขายอยู่ทั่วไปในท้องตลาด ซึ่งล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อสุขภาพที่สามารถดื่มได้บ่อยและทุกวัน แต่การดื่มชาสมุนไพรหลังอาหาร หรือดื่มไปพร้อม ๆ กับการกินอาหารนั้น นอกจากจะเป็นการช่วยบำรุงสุขภาพร่างกายแล้ว ยังสามารถช่วยให้ระบบการทำงานของร่างกายในหลาย ๆ ส่วน เช่น ระบบการย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย ระบบปัสสาวะ หัวใจทำงานได้ดี และยังเป็นตัวช่วยสะสาง ขับล้างไขมันที่เกาะติดอยู่ตามลำไส้ได้อีกด้วย หรือที่เรียกว่า Detox นั่นเอง
รวมไปถึงการดื่มเครื่องดื่มสมุนไพรแบบอุ่นหรือร้อน มีส่วนช่วยให้เกิดความรู้สึกดีทุกครั้งที่ดื่ม ส่วนหนึ่งเพราะกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของน้ำสมุนไพร จะช่วยให้เราผ่อนคลายความเครียดและความกังวลได้ และประโยชน์จากการดื่มน้ำสมุนไพรเป็นประจำ จะช่วยรักษาสมดุลของร่างกาย ทำให้ผิวพรรณมีน้ำมีนวล แลดูอ่อนเยาว์ และยังช่วยป้องกันไวรัสและแบคทีเรีย นอกจากนี้ น้ำสมุนไพรยังเต็มไปด้วยสารแอนติออกซิแดนท์ และฟลาโวนอยด์ ที่มีส่วนช่วยในการปกป้องอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ อีกด้วย และหากคนไทยเราหันมาดื่มน้ำสมุนไพรเหล่านี้เพื่อสุขภาพกันมากขึ้น แทนการดื่มน้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มบำรุงกำลังอื่น ๆ ที่มีการโฆษณากันมากมายตามท้องตลาด ก็จะเป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะช่วยให้สมุนไพรพื้นบ้านของไทยกลับมามีบทบาทและความสำคัญมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน
3. ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เนื่องจากผิวของคนเรานั้นมักจะขาดความชุ่มชื้นและเกิดอาการแสบคันได้ จึงควรเลือก ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว อาทิ ครีมอาบน้ำ ครีมบำรุงผิว แฮนด์ครีม ครีมกันแดด นอกจากนี้สำหรับสาว (เหลือ) น้อย ที่ยังรักความสวยความงาม ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมหลักประเภทคอลลาเจน และวิตามินซี ที่มีส่วนช่วยลดเลือนริ้วรอยได้ ก็จะเป็นของขวัญที่ถูกอกถูกใจเลยทีเดียว ก่อนอื่นมาดูกันก่อนว่าจริง ๆ แล้วเราจำเป็นต้องมีสกินแคร์แยก สำหรับทั้งกลางวันและกลางคืนเลยหรือเปล่า เราสามารถเอาครีมบำรุงผิวหน้ากลางวันมาใช้ตอนกลางคืนได้หรือไม่และอย่างไร ไปตอบข้อสงสัยกันค่ะ
ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว, สบู่เหลว, ผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำ
สาว ๆ หลายคนชอบมองหาผลิตภัณฑ์หอม ๆ มาใช้ ไม่ว่าจะเป็นแชมพู, ทรีตเมนต์, เซรั่ม, น้ำหอม และอีกมากมายเพื่อให้ตัวเองมีกลิ่นหอมดึงดูดคนรอบข้างให้มากที่สุด อีกทั้งยังเป็นการช่วยเสริมความมั่นใจอีกด้วย การอาบน้ำก็เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ร่างกายและผิวมีกลิ่นหอม แต่สาว ๆ หลายคนอาจจะไม่ได้ชอบสบู่แบบก้อน เพราะละลายเร็วจัด เก็บได้ยาก การใช้ “สบู่เหลวหรือครีมอาบน้ำ” เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับสาว ๆ ในยุคใหม่นั่นเองค่ะ ครีมอาบน้ำถูกออกแบบมาหลายขนาดและหลายกลิ่น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ อีกทั้งยังพกพาได้สะดวกมาก ๆ โดยไม่ต้องกลัวว่ามันจะละลายหรือไม่ อีกทั้งแต่ละยี่ห้อยังมีส่วนผสมที่ทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื่นอยู่ตลอดเวลา หากใช้คู่กับโลชั่นบำรุงผิวกายจะยิ่งทำให้ผิวของคุณเนียนนุ่ม ชุ่มชื่น น่าสัมผัสสุด ๆ ทั้งยังมีกลิ่นให้เลือกได้ตามใจชอบอีกด้วย
วิธีเลือกครีมอาบน้ำ
- สภาพผิว
ผิวมัน ให้เลือกครีมอาบน้ำแบบล้างออกง่าย และที่ล้างฟองออกแล้วไม่มีความลื่นหลงเหลืออยู่ ซึ่งจะชำระล้างความมันจากผิวได้ดี จึงทำให้ลดการเกิดสิวบริเวณหลังได้ด้วย
ผิวแห้ง ให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่ผสมมอยส์เจอไรเซอร์ ซึ่งเวลาล้างออกแล้วจะหลงเหลือความลื่นบนผิวไว้เล็กน้อย เพื่อเคลือบให้ผิวยังคงมีความชุ่มชื้นอยู่ แต่ห้ามใช้สบู่ก้อนอาบน้ำโดยเด็ดขาด เพราะสบู่ก้อนไม่มีสารหล่อลื่นผิว จึงทำให้ผิวของคุณยิ่งแห้ง คัน ลอกเป็นขุย
ผิวแพ้ง่าย แนะนำให้เลือกครีมอาบน้ำที่มีค่า pH ที่เหมาะสมสำหรับสภาพผิว นอกจากนี้ยังช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้ผิว และบางยี่ห้อก็มีตัวยาที่ช่วยรักษาปัญหาผิวต่าง ๆ ทั้งสิว ผดผื่น และอาการลอกเป็นขุยได้
- กลิ่น
ควรเลือกที่มีกลิ่นหอมไว้ก่อน เพราะกลิ่นจะช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลายได้ เวลาอาบน้ำ แต่แนะนำให้เลือกกลิ่นธรรมชาติ ไม่ใช่เลือกแบบกลิ่นสังเคราะห์ เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการแพ้ได้นั่นเอง
- ฟอง
ถ้าฟองครีมมีความละเอียดเนียนนุ่ม ก็จะไม่ทำให้ระคายเคืองผิว ยิ่งฟองเยอะมากเท่าไหร่ก็จะช่วยให้คุณประหยัดไปในตัวได้เท่านั้น แแต่มีฟองเยอะแล้วก็ควรล้างออกง่ายด้วย
ผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวหน้า FACE CREAM
Day Cream vs Night Cream ต่างกันอย่างไร?
Day Cream: คุณสมบัติเด่น ๆ คือให้ความชุ่มชื้น และมักมีสารป้องกันแสงแดดค่ะ อาจไม่ใช่ครีมกันแดดโดยตรง แต่ก็จะผสมสารกันแดดมาด้วย เนื้อสัมผัสโดยทั่วไปจะไม่เหนียวเนอะ เพราะต้องอยู่กับผิวหน้าเราไปทั้งวันค่ะ
Night Cream: คุณสมบัติเด่น ๆ มักเป็นการเติมความชุ่มชื้นและบำรุงผิวด้านอื่น ๆ เช่น ริ้วรอย มักมีส่วนผมของน้ำมันเพื่อช่วยคงความชุ่มชื้นในผิวไว้ให้ได้ตลอดคืนค่ะ
นั่นทำให้เมื่อมาดูคุณสมบัติแล้ว เราสามารถใช้ Day Cream และ Night Cream แทนกันได้อยู่ในกรณีที่ต้องการความชุ่มชื้น เพียงแต่คุณสมบัติบางอย่างอาจทำงานได้ไม่เต็มที่ เช่น สารป้องกันแสงแดด หรือกรดบางชนิดที่ไวต่อแสง ทำให้ควรใช้ในเวลากลางคืนมากกว่ากลางวัน เป็นต้น
HAND CREAM ทำไมคุณต้องใช้ครีมทามือ?
มือเป็นอวัยวะหนึ่งที่สามารถแสดงสัญญาณบอกว่าเราเริ่มมีอายุ เพราะหากเราไม่ได้ดูแลผิวบริเวณมือ ผิวก็จะเหี่ยว แห้งและหมองคล้ำ ซึ่งอาการดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้โดยการอาบน้ำอุ่นบ่อย ๆ การแพ้สบู่ การทำงานหนัก และสภาพอากาศในฤดูหนาว ดังนั้นการใช้ครีมทามือจะคืนค่า และปกป้องระดับความชุ่มชื้นตามธรรมชาติของผิวเพื่อให้มือดูอ่อนกว่าวัยนั่นเอง
วิธีเลือกครีมทามือ
- สภาพผิว ก่อนอื่น เราต้องสำรวจผิงบริเวณมือของเราก่อน ว่ามีสภาพผิวแบบไหน เพื่อจะได้เลือกผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้อง ถ้าผิวแห้งมาก ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของมอยเจอร์ไรซ์เซอร์เพื่อให้ผิวกลับมาชุ่มชื่น ผิวหมองคล้ำ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินซีและวิตามินอี เพื่อช่วยในการผลัดเซลล์ผิวเก่าออกไป อีกทั้งยังช่วยฟื้นฟูความชุ่มชื้นให้แก่ผิวอีกด้วยค่ะ
- กลิ่น เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ ค่ะ คุณควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีกลิ่นหอม แต่ไม่ควรหอมจนฉุนเกิดไป อาจจะเป็นกลิ่นผลไม้ ดอกไม้ ก็ได้ตามใจชอบ
- ประสิทธิภาพในการซึมเข้าผิว แน่นอนอยู่แล้วนะคะ ว่าเราต่างชอบให้ครีมที่เราใช้ซึมเข้าผิวเร็ว ครีมทามือก็เหมือนกัน เพราะครีมทามือที่ดีจะต้องซึมเข้าผิวได้เร็ว ไม่ทิ้งความเหนียวเหนอะหนะและสามารถล้างออกได้ง่าย ไม่ตกร่องผิวหรืออุดตันในรูขุมขน
SUN CREAM ครีมกันแดด (ซันครีม)
ที่ช่วยป้องกันผิวหนังของคุณ จากรังสียูวีเอ (UVA) และยูวีบี (UVB)
หลายคนอาจจะคิดว่าวันฤดูร้อนเป็นฤดูที่น่ารื่นรมย์ อบอุ่น และสดใส เหมาะกับไปเที่ยวทะเล ว่ายน้ำ หรือนอนอาบแดด แต่คุณรู้หรือไม่ว่ารังสีอุลตร้าไวโอเล็ตหรือรังสี UV ที่มาจากแสงแดดของดวงอาทิตย์นั้น ไม่ได้สร้างความเพลิดเพลินกับผิวของคุณสักเท่าไหร่ กลับกันรังสี UV พวกนี้จะเป็นอันตรายทางชีวภาพเป็นหลักมากกว่า แม้ว่าผิวหนังของคุณจะต้องการใช้ประโยชน์จากรังสี UV ในการสังเคราะห์วิตามิน D3 แต่หากคุณได้รับรังสี UV มากเกินไป ก็จะมีผลในทางลบมากกว่าประโยชน์แน่นอนค่ะ อาทิเช่น การถูกแดดเผา, การยับยั้งภูมิคุ้มกันของเซลล์ในระยะสั้น, การทำลายผิวหนัง
หรือที่เรียกว่า Photoaging ที่อาจจะเกิดเป็นมะเร็งผิวหนังในระยะยาวได้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วมักเกิดจากรังสี UVB และรังสี UVA ประมาณ 10-20%
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับครีมกันแดด
ครีมกันแดดในท้องตลาด มักจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไปตามการใช้งาน ตัวอย่างเช่น ครีมกันแดดทาหน้าสำหรับผิวมันที่ช่วยคุมมันได้ดีตลอดทั้งวัน, ครีมกันแดดสำหรับผิวบอบบางหรือครีมกันแดดสำหรับเด็ก ซึ่งเป็นผิวที่ระคายเคืองง่ายโดยส่วนใหญ่มักจะปราศจากสารเติมแต่ง อย่าง น้ำมัน, น้ำหอม, แอลกอฮอล์ และพาราเบนเป็นต้น แต่สำหรับในเรื่องของการป้องกันแสงแดดหรือรังสี UV นั้น ครีมกันแดดแต่ละตัวก็ต้องมีคุณสมบัติในการปกป้องที่แตกต่างกันไป อย่างเช่น การป้องกันรังสี UV ที่เห็นได้บ่อย ๆ ในสรรพคุณผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดก็จะเป็นการป้องกันรังสี UVA และ UVB ซึ่งเป็นรังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet) ที่สร้างความเสียหายให้กับผิวหนังของเราทั้งได้ทั้งคู่
รังสี UVA และ UVB คืออะไร
อ้างอิงจาก NIH สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (2) กล่าวว่า รังสี UV จากแสงอาทิตย์สามารถแบ่งออกเป็นองค์ประกอบ UVA, UVB และ UVC โดยรังสี UVC จะมีความยาวคลื่นสั้นที่สุด (100-280 นาโนเมตร) รองลงมาก็จะเป็น UVB (280-320 นาโนเมตร) และรังสีที่มีค่าความยาวคลื่นสูงสุดคือ UVA (315-400 นาโนเมตร) แต่เนื่องจากโอโซนในชั้นบรรยากาศดูดซับรังสี UVC ไว้ทำให้แสงอาทิตย์ที่สามารถส่องมาถึงได้นั้นก็มี UVA (90% -95%) และ UVB (5% –10%)
มาถึงตรงนี้หลายคนคงสงสัยว่า รังสี UVA และ UVB คืออะไร? หรืออาจจะสับสนในความหมายของทั้งสองสลับกันบ่อย ๆ เรามีเคล็ดลับที่ดีสำหรับการจดจำความหมายของ UVA และ UVB นั่นก็คือ
UVA คือ ใช้สำหรับป้องกันการหมองคล้ำของผิวหนัง ซึ่งจะเป็นรังสีที่ทำลายเซลล์ผิวของคุณอย่างถาวรหรือผิวหนังชั้นดี
UVB คือ ใช้สำหรับป้องกันการเผาไหม้ของผิวหนัง เป็นรังสีที่เกิดการถูกแสงแดดเผาและแสงแดดทำลายผิว ให้ทำผิวไหม้แดด เกรียมแดด และแสบร้อนได้ เป็นการทำลายผิวในชั้นหนังกำพร้า
UVA สามารถแทรกซึมมาได้ถึงผิวหนังชั้นดีของคุณ และในทางตรงกันข้าม UVB จะแทรกซึมมาได้ถึงผิวหนังชั้นนอก (ผิวในชั้นหนังกำพร้า) แต่ก็เกือบจะถึงชั้นหนังแท้เช่นกัน ดังนั้นหากให้เปรียบเทียบว่า UVA และ UVB อันไหนอันตรายและร้ายแรงมากกว่ากัน ต้องบอกเลยว่าเป็นรังสี UVA ค่ะ เพราะรังสี UVA จะเข้าไปทำลายเซลล์ผิวอย่างถาวร เป็นต้นเหตุให้เกิดฝ้า ริ้วรอย มะเร็งผิวหนัง เป็นต้น คุณสามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้จากหัวข้อ อันตรายจากรังสี UV ข้างล่างนี้ แสงแดดหรือยูวีจะทำร้ายชั้นผิวคุณโดยตรง หากคุณไม่ทาครีมกันแดดหรือมีอุปกรณ์สำหรับกันยูวีอย่างเสื้อคลุมหรือปลอกแขนกันแดด แสงแดดหรือยูวีจะทำร้ายชั้นผิวคุณโดยตรง หากคุณไม่ทาครีมกันแดดหรือมีอุปกรณ์สำหรับกันยูวีอย่างเสื้อคลุมหรือปลอกแขนกันแดด
ค่า SPF และ PA คืออะไร
ค่า SPF และ PA ค่าที่ใช้เรียกในการป้องกันแสงแดดจากรังสี UVA และ UVB โดย SPF ย่อมาจาก Sun Protection Factor และ PA ย่อมาจาก Protection Grade of UVA ซึ่งทั้งสองค่าจะมีหน้าที่และคุณสมบัติที่ต่างกันโดยเราสามารถจำได้ง่าย ๆ ดังนี้
ค่า SPF ป้องกันรังสี UVB
ค่า PA ป้องกันรังสี UVA
ซึ่งวิธีการเลือกค่า SPF และ PA ที่เหมาะสมนั้นก็จะขึ้นอยู่กับกิจวัตรประจำวันของคุณ ซึ่งเราจะมาบอกถึงวิธีการคำนวณเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF และ PA ที่เหมาะสมกับคุณกันในหัวข้อถัดไป
วิธีการเลือกครีมกันแดด ที่เหมาะสมกับคุณ ที่ดีที่สุด
ข้อมูลจาก: ADD สมาคมโรคผิวหนังแห่งสหรัฐอเมริกา
การเลือกค่า SPF / PA ตามลักษณะการใช้งาน
ครีมกันแดดที่ดี ควรมีค่า SPF เท่าไร
ค่า SPF ที่ส่วนใหญ่มักจะเป็นตัวเลข SPF 15, SPF 30 หรือ SPF 50 ที่เราเห็นกันบ่อย ๆ นั้น หลายๆคนอาจจะยังไม่ทราบว่าตัวเลขที่ระบุต่อท้าย SPF มันคืออะไร? สำหรับตัวเลขที่ต่อท้ายนั้นหมายถึงปริมาณการดูดซับรังสี UVB นั้นเอง อาทิเช่น
SPF 15 = ดูดซับ UVB ได้ 93.3%,
SPF 30 = ดูดซับ UVB ได้ 96.7%
SPF 50 = ดูดซับ UVB ได้ 98%
ยิ่งตัวเลขสูงประสิทธิภาพการดูดซับรังสี UVB ก็จะยิ่งมากขึ้น ซึ่งการดูดซับ UVB สูงขึ้นเท่าไหร่ก็หมายความว่าสามารถป้องกันได้ดีเท่านั้น แต่ไม่มีครีมกันแดดใดสามารถปิดกั้นรังสี UVB ของดวงอาทิตย์ได้ 100% และนอกจากนี้ค่า SPF ยังสามารถอธิบายได้ในแง่ของระยะเวลาการป้องกันผิวของคุณจากแสงแดด ไม่ให้ผิวแสบร้อนหรือไหม้แดดได้อีกด้วย อาทิเช่น คุณเลือกครีมกันแดด SPF 15 หมายถึง SPF 15 ให้การปกป้อง UVB มากถึง 15 เท่า (ซึ่งมากกว่าผิวธรรมดาของคุณที่ไม่มีครีมกันแดด) หากคุณใช้ SPF 15 สำหรับการออกข้างนอกสักประมาณ 30 นาที หมายความว่าครีมกันแดดตัวนี้ก็จะสามารถป้องกันผิว
ของคุณจากรังสี UVB ได้เป็นระยะเวลา 15×30 = 450 นาที (หรือประมาณ 7 ชั่วโมงครึ่ง)โดยที่ผิวไม่โดนเผาไหม้จากแดด
หมายเหตุ: สำหรับใครที่ไม่ค่อยได้ออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งในช่วง 10.00 น. ถึง 14.00 น. (ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แสงแดดเป็นอันตรายต่อผิวมากที่สุด) ก็ให้เลือกใช้เพียงแค่ SPF 15 ถึง SPF 30 ถือว่าเพียงต่อความต้องการแล้วค่ะ เพราะการเลือกค่า SPF สูง ๆ นั้น ไม่ได้หมายความว่าจะปกป้องแสดงแดดได้ดีกว่า SPF ค่าที่ต่ำ ๆ เสมอไปนะคะ สำหรับคนที่มีผิวแพ้ง่ายการเลือกค่า SPF สูง ๆ จะก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังมากกว่า และสำหรับใครที่คิดว่าการทาครีมกันแดด SPF หลาย ๆ ค่าทับซ้อนกัน จะยิ่งเพิ่มประสิทธิการกันแดดนั้น ให้หยุดพฤติกรรมเหล่านี้ไปได้เลยค่ะ หากเดิมทีคุณทาครีมกันแดด SPF 50+ และไปทา SPF 15 ทับอีกชั้น ประสิทธิภาพในการกันแดดที่คุณจะได้รับก็จะเป็น SPF 15 นะคะ (ชั้นบนสุด)
ครีมกันแดดที่ดี ควรมีค่า PA เท่าไร
ค่า PA ไม่มีหน่วยวัดที่เป็นมาตรฐาน ดังนั้นจึงไม่มีตัวเลขแสดงให้เราเห็น แต่จะมาในรูปแบบเครื่องหมายบวก หรือ + ที่ถือเป็นระดับการป้องกันรังสี UVA นั้นเอง ยิ่งเครื่องหมาย + มากก็ยิ่งปกป้องรังสี UVA ได้สูง
ดังนั้นหากใช้ในชีวิตประจำวันเราเสนอให้คุณเลือกเป็น SPF 15 / PA + ก็เพียงพอแล้วค่ะ หากต้องออกไปข้างนอกที่หลีกเลี่ยงแสงแดดไม่ค่อยได้ก็ปรับมาเป็น SPF 15 ถึง SPF 30 และตามด้วย PA ++ แต่หากเป็นกิจกรรมกลางแจ้งต้องตากแดดเป็นระยะเวลานาน ๆ เราขอแนะนำเป็น SPF 30 ถึง SPF 50+ (ขึ้นไป) และค่า PA +++ ขึ้นไปเช่นกันค่ะ นอกจากนี้คุณควรจะทากันครีมแดดซ้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมง แม้ว่าค่า SPF จะสามารถป้องกันได้ยาวนานแล้ว แต่สำหรับกรณีที่ออกแดดแรง ๆ การทาทับบ่อย ๆ เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดให้ดียิ่งขึ้นนั่นเองค่ะ ที่สำคัญคุณควรทาครีมกันแดด 15-30 นาทีก่อนออกแดด หากเป็นไปได้คุณควรหาอุปกรณ์เสริมในการป้องกันแสงแดดที่นอกเหนือจากครีมกันแดด อาทิเช่น ปลอกแขนกันแดด หรือสวมหมวกปีกกว้างเป็นต้น
การเลือกปริมาณของครีมกันแดดที่เหมาะสม
ปริมาณของครีมกันแดดก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่คุณไม่ควรมองข้าม หลาย ๆ คน ชอบซื้อครีมกันแดดที่มีค่า SPF / PA สูง ๆ มาในปริมาณเยอะ ๆ แต่พอถึงเวลาใช้จริง ๆ กลับไม่ค่อยได้ใช้สักเท่าไหร่ เพราะคุณไม่ได้มีกิจกรรมที่ต้องออกแดดบ่อย ๆ เป็นประจำ ทำให้ครีมกันแดดเหลือใช้และหมดอายุก่อนทุกครั้งไป โดยส่วนใหญ่แล้วครีมกันแดดจะมีอายุประมาณ 3 ปีนับจากวันผลิต แต่โปรดจำไว้ว่าครีมกันแดดจะมีอายุการใช้งานตามมาตรฐานอยู่ที่ประมาณ 12 เดือน เพราะยิ่งเก็บไว้นานประสิทธิภาพของครีมกันแดดก็จะยิ่งลดลงไปเรื่อย ๆ
หมายเหตุ: หากคุณเน้นไปทริปเที่ยวทะเลสั้น ๆ เราแนะนำเป็นครีมกันแดดขนาด 200 มล. ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับการทาผิวหน้าและผิวกายได้หนึ่งอาทิตย์
ชนิดเนื้อครีมกันแดด
เลือกชนิดของครีมให้เหมาะกับสภาพผิว เพราะครีมกันแดดส่วนใหญ่อาจทำให้เกิดสิวอุดตัน หรืออาการแพ้จากสารเคมีได้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากเช่นกัน
ครีมกันแดดเนื้อครีม
จะมีเนื้อครีมข้นสีขาวบางยี่ห้อจะเหนียวๆ หน่อย เหมาาะกับคนที่ผิวแข็งแรงไม่แพ้ง่ายไม่เป็นสิว ค่อนข้างทนแดดอยู่ได้ค่อนข้างยาวนานกว่าชนิดอื่น
ครีมกันแดดแบบโลชั่น
กันแดดในรูปแบบของโลชั่น เป็นอีกแบบที่เหมาะกับผิวแห้ง ควรเลือกแบบที่มีความเข้มข้นหน่อยเพื่อ เพิ่มความชุ่มชื้น ลดการสูญเสียน้ำใต้ผิว ถ้าเลือกแบบที่มีส่วนผสมของสารที่ช่วยบำรุงไม่ให้ผิวแห้งกร้าน ไม่ผสมแอลกอฮอล์จะดีมาก ๆ เลย
ครีมกันแดดเนื้อเจล
สำหรับคนที่เป็นสิวง่ายแนะนำเป็นเนื้อเจล เพราะจะไม่อุดตันในรูขุมขน เนื้อสัมผัสที่เบาสบาย มอบความสดชื่นให้แก่ผิว ไม่ทิ้งความเหนียวเหนอะหนะหลังทา เหมาะสำหรับสภาพอากาศในบ้านเรามากๆ
ครีมกันแดดน้ำ
ครีมกันแดดสูตรน้ำเป็นชนิดที่คนนิยมในปัจจุบัน ด้วยความบางเบากว่าเนื้อเจลทำให้หลายคนติดใจ และเหมาะสำหรับสภาพอากาศในบ้านเราเช่นกัน
ครีมกันแดดแบบสเปรย์
กันแดดในรูปแบบสเปรย์เหมาะกับนักกิจกรรมทั้งหลาย นักกีฬา นักดำน้ำ หรือ อาชีพที่ต้องออกไปกลางแจ้ง ส่วนมากพกพาง่าย ใช้ง่ายแค่ฉีดลงบนผิวแต่ไม่แนะนำให้ฉีดใส่หน้าโดยตรงค่ะ ควรฉีดลงบนฝ่ามือก่อนแล้วค่อยตบๆ บนผิวจะดีกว่า
ครีมกันแดดแบบมูส
รูปแบบมูสมีเนื้อบางเบา คล้ายเจล ซึมซับสู่ผิวได้ง่าย จึงเป็นอีกชนิดที่เหมาะกับผิวมัน
ครีมกันแดดแบบแท่ง
เหมาะสำหรับใช้บริเวณรอบดวงตา บางครั้งก็มาในรูปแบบของเครื่องสำอางผสมสารกันแดด ข้อดีคือ พกง่าย ทาทับเครื่องสำอางได้ สามารถซับหน้าแล้าทาเพิ่มระหว่างวันได้ไม่ยาก
สิ่งน่ากลัวที่เกิดขึ้น หากคุณไม่ทาครีมกันแดด
การมองข้ามความสำคัญของครีมกันแดดอาจมีผลต่อผิวของคุณในระยะยาว Dr. Lotika Singh แพทย์จากกลุ่มโรคผิวหนัง Schweiger ในนิวยอร์ก กล่าวว่า “สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคมะเร็งผิวหนัง!”
Dr. Janet H Prystowsky, MD กล่าวสนับสนุนต่อว่า “รังสียูวีที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อแสงแดดและอายุผิวของคุณ หากคุณไม่ทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ การทำงานนอกบ้าน การนั่งริมหน้าต่าง และใช้เวลานอกบ้านส่วนใหญ่ จะทำให้คุณสัมผัสกับรังสียูวีที่ก่อให้เกิดมะเร็ง หรือแม้ว่าคุณจะไม่ได้ออกไปไหนเลยก็ตาม แต่คุณต้องใช้ครีมกันแดด เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดมะเร็งผิวหนัง”
เพื่อให้คุณได้ตระหนักถึงภัยร้ายของการไม่ทาครีมกันแดด เราจึงสรุปข้อเสียมาดังนี้
การเกิดฝ้า: บริเวณที่เป็นฝ้าจะมีลักษณะสีผิวที่คล้ำกว่าสีผิวจริงของคุณ นอกจากนี้ฝ้ายังช่วยเร่งผลกระทบโดยรวมของริ้วรอยที่จะตามอีกด้วยนะคะ
ริ้วรอยที่เพิ่มขึ้น: หากคุณไม่ทาครีมกันแดด คุณจะทำลายคอลลาเจนและเนื้อเยื่อเกี่ยวกับสุขภาพผิวของคุณทั้งหมด และเหล่าสิ่งนี้ จะนำไปสู่การสูญเสียความยืดหยุ่นของผิว ซึ่งเกิดเป็นริ้วรอยที่เพิ่มขึ้นนั่นเองค่ะ
การเผาไหม้ที่เจ็บปวด: การถูกแดดแรง ๆ เผาเป็นระยะเวลานาน ๆ อาจจะเกิดแผลพุพอง ซึ่งจะสร้างความเจ็บปวดได้ในที่สุด
รอยแผลเป็น: มักเกิดกับผู้ป่วยที่ผิวไวต่อแสง สามารถสร้างความรุนแรงต่อผิวที่อาจจะทำให้เกิดแผลเป็นได้
ในปัจจุบันนี้ มีครีมกันแดดให้เลือกมากมายตามที่เราได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นครีมกันแดดสำหรับทาหน้า ซึ่งก็จะมีสูตรควบความมัน, สูตรสำหรับผิวบอบบางแพ้ง่าย หรือครีมกันแดดที่สามารถทาได้ทั้งผิวหน้าและผิวกาย นอกจากนี้ยังมีครีมกันแดดที่เน้นสำหรับใช้ในกิจกรรมกลางแจ้ง ซึ่งคุณควรจะเลือกครีมกันแดดให้ตรงกับสภาพผิวนั่นคือทางเลือกที่ดีที่สุด
4. สเปรย์แอลกอฮอล์ล้างมือ ทิชชู่เปียก
ในยุค New Normal นี้ จัดว่า เป็นไอเท็มจำเป็นมาก ๆ ที่ทุกบ้านต้องหาซื้อติดบ้านไว้ตลอด ให้เพียงพอกับจำนวนสมาชิกในบ้านด้วย สเปรย์แอลกอฮอล์ล้างมือ ทิชชู่เปียก พกไว้อุ่นใจ นอกจากจะใช้เช็ดทำความสะอาดสิ่งสกปรกต่าง ๆ ได้สะดวกและง่ายดายกว่าใช้ผ้าหรือกระดาษทิชชู่แล้ว อากาศร้อนๆแบบนี้ยังนำไปแช่เย็นใช้เช็ดคลายร้อนแทนผ้าเย็นได้อีกด้วย นอกจากนี้สเปรย์แอลกอฮอล์สามารถเอาไปเช็ดสิ่งของ ลูกบิดประตู โทรศัพท์มือถือ ได้ด้วย และแน่นอนว่าสเปรย์แอลกอฮอล์ก็ต้องมีปริมาณแอลกอฮอล์เข้มข้น 70% ขึ้นไป เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคเช่นกัน
5. หมอนยางพาราเพื่อสุขภาพ
การพักผ่อนที่เพียงพอ จะช่วยให้ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ช่วยลดระดับความเครียดช่วยรักษาหัวใจให้แข็งแรง ลดความตึงเครียดเพราะขณะคุณหลับร่างกายจะได้รับการพักอย่างเต็มที่ การพักผ่อนที่เพียงพอจะช่วยให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ทำให้มีความจำมีสมาธิที่ดีขึ้น และยังช่วยให้ผิวพรรณสดใสไม่เสื่อมโทรม
การนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอ ส่งผลดีต่อสุขภาพของคุณอย่างมาก บางคนไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการพักผ่อน เนื่องจากสาเหตุที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นการทำงานอย่างหนัก หรือบางคนอาจไม่สบายตัวปวดเมื่อยคอ เนื่องจากนอน ในท่า ที่ไม่เหมาะสม สาเหตุเหล่านี้ ล้วนขัดการพักผ่อน โดยเฉพาะการปวดเมื่อยคอ ปวดหลังระหว่างการนอน เนื่องจากใช้หมอน ที่ไม่ได้มาตรฐาน เช่นหมอน สูงเกินไป หมอนที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนมากที่สุด และ กำลังได้รับความนิยมก็ คือ หมอนยางพารา
หมอนยางพารา คือ
หากพูดถึงปัญหาสุขภาพที่หลาย ๆ คนกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน มีคนจำนวนไม่น้อยที่ประสบปัญหาปวดหลัง/ปวดคอหลังจากตื่นนอน หรืออาจมีอาการหลับ ๆ ตื่น ๆ ในช่วงกลางคืน ทำให้เวลานอนไม่พอ ส่งผลให้มีอาการอ่อนเพลียช่วงกลางวัน ไม่มีสมาธิในการทำงาน โดยอาจคิดว่าเกิดจากปัญหาความเครียดต่าง ๆ
หรือความเคยชินในการนอนดึก แต่จุดหนึ่งที่หลายคนมักจะมองข้ามก็คือ สาเหตุเหล่านั้นอาจมาจากหมอนที่คุณใช้หนุนนอนซึ่งไม่มีคุณภาพเพียงพอหรือไม่เหมาะกับสรีระร่างกาย จึงไม่สามารถรองรับศีรษะและต้นคอได้อย่างเหมาะสม ทำให้เกิดอาการต่าง ๆ เหล่านี้
"หมอนยางพารา" จึงกลายเป็นหนึ่งในตัวช่วยที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหา เนื่องจากเป็นหมอนที่มีการออกแบบมาเพื่อปรับสรีระของผู้นอนให้เหมาะสม และยังช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้นอีกด้วย
หมอนที่ออกแบบมาเพื่อรองรับสรีระร่างกายในขณะที่นอน หมอนยางพาราจะรองรับในส่วนคอ หลัง ไหล่ให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม เพื่อให้คุณนอนหลับได้สบายมากที่สุดโดยไม่มีอาการปวดคอเมื่อตื่นนอน นอกจากนี้หมอนยางพาราบางรุ่นยังออกแบบให้สามารถป้องกันไรฝุ่นและปุ่มสำหรับนวดได้ด้วย วัสดุที่ใช้ในการทำหมอนยางพาราส่วนใหญ่มักทำจากยางธรรมชาติซึ่งจะทำให้หมอนไม่ยุบตัวง่ายยืดหยุ่นได้ดี ป้องกันการสะสมของแบคทีเรียและเชื้อราได้
วิธีการเลือกหมอนยางพารา
การใช้หมอนธรรมดา ส่วนใหญ่จะไม่สามารถรองรับน้ำหนักบริเวณช่องว่างระหว่างศีรษะและคอได้ จึงทำให้ส่วนคอต้องรองรับน้ำหนักตลอดทั้งคืน ส่งผลให้เกิดอาการปวดเมื่อย ซึ่งหมอนยางพาราจะช่วยแก้ไขปัญหาตรงนี้ได้ แต่เนื่องจากหมอนยางพารามีลักษณะที่แข็งกว่าหมอนทั่วไป จึงต้องมั่นใจได้ว่าสามารถรองรับช่องว่างระหว่างคอกับศีรษะได้อย่างพอดี ให้เลือกหมอนยางพาราทรง Curve ที่ออกแบบให้มีระดับสูงต่ำคล้ายคลื่นโค้งเว้าตามหลักสรีรศาสตร์ ซึ่งจะช่วยให้กระดูกต้นคอและกระดูกสันหลังอยู่ในรูปเส้นตรงเหมาะสม แก้ปัญหาการปวดคอในเวลานอนและอาการปวดหลังเรื้อรังได้ ส่วนผู้ที่กำลังมองหาหมอนยางพาราเด็ก ก็อาจจะต้องเลือกหมอนไซซ์เล็กลงมา มิเช่นนั้นอาจจะทำให้ไม่ถูกสรีระกับขนาดศีรษะเสียได้
คุณสมบัติที่สำคัญในการเลือกใช้หมอนยางพารา คือ การนอนหลับที่สบายและผ่อนคลายไม่ว่าจะพลิกตัวในท่าไหน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเลือกหมอนยางพาราที่มีความสูงเหมาะสมเพื่อให้ระบบทางเดินหายใจนั้นคล่องตัว แต่เนื่องจากขนาดร่างกายและสรีระของแต่ละคนไม่เหมือนกัน จึงเป็นเรื่องยากที่จะหาหมอนที่มีขนาดพอดีเป๊ะ จึงแนะนำให้เลือกหมอนยางพาราที่สามารถเสริมฐานได้เพื่อปรับความสูง-ต่ำหรือมีส่วนโค้งให้ปรับนอนได้เหมาะสมกับเราค่ะ
ถึงแม้หมอนยางพาราจะมีความแข็งกว่าหมอนใยสังเคราะห์ทั่วไป แต่หากเราเลือกหมอนที่แข็งเกินไปอาจทำให้เจ็บใบหู อีกทั้งตัวหมอนจะไม่สามารถเข้าไปรองรับส่วนโค้งเว้าของศีรษะและลำคอได้อย่างเหมาะสม ก็จะทำให้เกิดอาการคอเคล็ด, ปวดคอ และนอนหลับไม่สนิทได้เช่นกัน จึงขอแนะนำให้เลือกหมอนยางพาราที่มีความนุ่มพอดี สามารถกระจายแรงกดทับได้ ไม่ทำให้ส่วนใดส่วนหนึ่งยุบตัวมากไปเพื่อให้ทั้งศีรษะ ช่วงคอ และใบหูรู้สึกผ่อนคลายตลอดคืน
โดยปกติเราจะนอนพลิกตัวในช่วงกลางคืนประมาณ 20 รอบ จึงต้องเลือกหมอนที่คืนตัวได้ดีเพื่อรองรับศีรษะที่พลิกไปมาได้ทันที และควรมีลักษณะที่สูงเท่ากันทั้งด้านซ้ายและขวา เพื่อที่จะได้รองรับการนอนได้อย่างเหมาะสมโดยเฉพาะกับคนที่นอนดิ้นหรือพลิกตัวบ่อย ที่สำคัญ ควรเลือกความกว้างของหมอนประมาณ 50 - 60 เซนติเมตร เพื่อป้องกันปัญหาคอเคล็ดหรือปวดคอจากการนอนตกหมอนเมื่อพลิกตัว