ที่ผ่านมา การดูแลสุขภาพที่ดีเป็นเรื่องของการออกกำลังกายและเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ แต่ในวันนี้ การดูแลสุขภาพที่ดีเพื่อให้สุขภาพร่างกายห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บนั้นยังมีปัจจัยอื่นร่วมด้วย ทั้งในเรื่องของสภาวะจิตใจและอารมณ์, เรื่องของความเครียด, การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ รวมไปถึงความสามารถและเวลาที่แตกต่างกันในเรื่องของการออกกำลังกายแต่ละบุคคล
ซึ่งในปี 2023 เทรนด์การดูแลสุขภาพจะพูดตั้งแต่เรื่องสุขภาพทางเดินอาหาร สุขภาพในที่ทํางาน ภาวะทางอารมณ์ ไปจนถึงสุขภาพการนอนหลับ นี่คือแนวโน้มด้านสุขภาพที่ทั่วโลกกําลังให้ความสนใจและจับตามอง
1.เข้านอนหัวค่ำ หยุดพฤติกรรมการนอนดึก Earlier Evenings Over Late Nights
ถ้าปกติคุณเข้านอนตอน 2 ทุ่ม นี่คือเรื่องที่ดี เพราะเทรนด์การดูแลสุขภาพในปี 2023 คือควรเริ่มต้นด้วยการเข้านอนเร็วทุกคืน ที่ไม่เพียงจะส่งผลถึงนาฬิกาชีวิตและการนอนหลับ แต่ยังเกี่ยวข้องกับกิจกรรมต่าง ๆ ในช่วงเย็นและการกินอาหารมื้อเย็นที่มีส่วนช่วยทำให้การนอนหลับมีคุณภาพมากขึ้น
ดังนั้น ให้เวลาสัก 2-3 ชั่วโมง เพื่อผ่อนคลายและเริ่มต้นพฤติกรรมการนอนเร็ว เข้านอนหัวค่ำ หยุดพฤติกรรมการนอนดึก เพราะร่างกายของเรามีนาฬิกาชีวิต ที่อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายจะต้องทำงานตามเวลาของมัน
การใช้ชีวิตประจำวันให้เป็นไปตามช่วงเวลาที่อวัยวะทำงานจะทำให้อวัยวะทำงานได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการนอนหลับควรอยู่ที่ เริ่มเข้านอนไม่เกิน 2 ทุ่ม และตื่นนอนประมาณตี 5 ถึง 6 โมงเช้า การนอนเร็วยังมีส่วนช่วยให้อวัยวะภายในไม่ต้องทำงานหนักจากการย่อยอาหาร หรือลดการกินของว่างในมื้อดึก ส่งผลดีต่อผู้ที่กำลังลดน้ำหนักอีกด้วย
2.ออกกำลังกายออนไลน์ FIT At HOME
ถึงแม้ว่าสถานการณ์ต่างๆ เริ่มดีขึ้น สถานที่ออกกำลังหรือฟิตเนสเริ่มเปิดให้บริการตามปกติมากขึ้น แต่การออกกำลังกายที่บ้านผ่าน application หรือ คลาสออกกำลังกายออนไลน์ ยังคงได้รับความนิยมติดอันดับเทรนด์สุขภาพปี 2023 ทำให้แม้ไม่ได้ออกจากบ้านไปฟิตเนส ก็ยังมีบริการในแอปพลิเคชันที่ช่วยอำนวยความสะดวกในเรื่องของการออกกำลังกาย เหมือนมีเทรนเนอร์ส่วนตัวอยู่กับเราตลอด 24 ชั่วโมงเลยทีเดียว ไม่ใช่ว่าเราไม่ต้องการพบปะผู้คน แต่เป็นเรื่องของความสะดวกสบายที่ไม่ต้องออกจากบ้านมากกว่า
3.สนุกกับการออกกำลังกายทุกที่ทุกเวลา Exercising Snacking
เป็นอีกหนึ่งเทรนด์สุขภาพฟิตในปี 2023 ที่น่าจับตามองก็คือการออกกำลังกายแบบประหยัดเวลา หรือ Exercise Snacking ที่เปรียบการออกกำลังกายเป็นเหมือนกับการกินขนม คือ สนุกกับการออกกำลังกายได้ทุกที่ทุกเวลาและใช้เวลากับมันไม่นาน จากที่เคยวิ่งรอบสนามฟุตบอล 1 ชั่วโมง สามารถเปลี่ยนมาเป็นการลุกขึ้นเดิน 2 นาที ในระหว่างนั่งทำงานอยู่ หรือเลือกจะออกกำลังกายแบบ HIIT (High Intensity Interval Training) วิธีออกกำลังกายที่มีความเข้มข้นสูงในระยะเวลาสั้น ๆ สลับกับการพัก เป็นรูปแบบการออกกำลังกายที่ช่วยเผาผลาญพลังงานได้ดีมาก เมื่อเทียบกับระยะเวลาอันสั้นที่ใช้ในการออกกำลังกาย ยกตัวอย่างเช่น การปั่นจักรยานออกกำลังกาย อาจจะปั่นด้วยความเร็วคงที่จะทำให้ให้ร่างกายไม่เหนื่อยมาก แต่การปั่นจักรยานแบบ HIIT นั้น จะเป็นการปั่นด้วยความเร็วสุดกำลังของเรา ประมาณ 8-10 วินาที จากนั้นกลับมาสลับปั่นแบบเบา ๆ อีก 20 วินาที ทำสลับแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนครบ 20-30 นาที จะช่วยเบิร์นไขมันได้ดีมาก โดยการออกกำลังกายแบบ HIIT นั้น ได้รับการยอมรับว่าจะช่วยให้สามารถเผาผลาญไขมันมากกว่าการคาร์ดิโอปกติได้หลายเท่าทีเดียว
4.เบิร์นได้ ไม่ต้องโดด Low - Impact Workout
Low Impact Workout เป็นการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกน้อย เป็นการออกกำลังกายเบา ๆ ที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้โดยไม่มีการกระโดด หรือการกระแทกต่าง ๆ เช่น พิลาทิส โยคะ แม้แต่การเดินและการออกกำลังกายในน้ำ เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก ผู้ที่เริ่มออกกำลังกาย และผู้ที่มีอาการบาดเจ็บต่าง ๆ โดยเฉพาะอาการบาดเจ็บที่หัวเข่าและที่หลัง
5.คุณภาพชีวิตในที่ทำงาน Quality of Working Life
มีงานวิจัยหลายชิ้นได้อธิบายถึงอัตราการเพิ่มขึ้นของความเครียดและภาวะหมดไฟในการทำงาน ในข้อมูลประมาณ 60% ของกลุ่ม Gen-Y และกลุ่ม Gen-Z ได้รับผลกระทบจากภาวะหมดไฟในการทำงาน
ในปี 2023 มีความคาดหวังจะเห็นองค์กรให้ความสําคัญกับสุขภาพจิตของพนักงานและความเป็นอยู่ที่ดีในที่ทํางาน ซึ่งรวมถึงตารางการทำงานที่ยืดหยุ่น, สถานที่ออกกำลังกายในที่ทํางาน, การศึกษาด้านโภชนาการและการเข้าถึงอาหารเพื่อสุขภาพ นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่าจะได้เห็นโปรแกรมการจัดการความเครียดในที่ทำงาน เช่น การฝึกทําสมาธิ, การปรับความสมดุลระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัว
6.เทคโนโลยีติดตามตัวเพื่อสุขภาพที่ดี Wearable Wellness Technology
ตั้งแต่ Apple Watch (นาฬิกาข้อมือสารพัดประโยชน์) ไปจนถึง Oura Ring (แหวนอัจฉริยะสำหรับสุขภาพ) เทคโนโลยีที่สวมใส่ได้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แถมยังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นต่อไปในปี 2566 ตั้งแต่การเพิ่มแรงจูงใจในการออกกำลังกายทุกวันไปจนถึงการตรวจสอบข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคลและการกำหนดเป้าหมายด้วยวิธีที่รวดเร็ว สะดวกสบาย นอกเหนือจากการวัดข้อมูลที่น่าประทับใจแล้ว (เช่น การเผาผลาญแคลอรี่ ข้อมูลรูปแบบการนอน และความแปรปรวนของอัตราการเต้นของหัวใจ) คาดว่าจะได้เห็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีใหม่และมีรายละเอียดที่น่าทึ่งมากขึ้น
7.เทรนด์อาหารที่ตอบโจทย์ทั้งสุขภาพและสิ่งแวดล้อม Plant-Based Food
เทรนด์สุขภาพปี 2023 ยังให้ความสนใจในเรื่องของอาหารการกินอย่างเทรนด์ Plant-based ที่สายเฮลท์ตี้ต้องรีบอัปเดทเช่นกัน จากข้อมูลคำค้นหา การเลือกกินอาหาร Planted-based ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2023 และคำค้นหา คำว่า Vegan (อาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์ 100%) ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด 10 ปีที่ผ่านมา อาจเพราะผู้คนให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้นถึงเลือกกินอาหาร Vegan หรือง่ายที่สุดคือ เลือกไม่กินเนื้อสัตว์ เพื่อประโยชน์ทางด้านสุขภาพ ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านคุณธรรมจากการกินอาหารจากพืช ซึ่งแน่นอนว่าความเป็น Organic ธรรมชาติกำลังมาแรง ด้วยสาเหตุที่มาจากความวิตกกังวลในเรื่องของสารพิษตกค้าง และความกังวลในเรื่องของสารบางอย่างที่มาจากสัตว์ด้วย ทำให้มีคนเลือกกินมากยิ่งขึ้น แถมบางคนไม่ได้กินเพราะเป็นกระแส หรือเพราะชอบอย่างเดียว แต่ยังมีคนที่เลือกกิน Plant-based เพื่อควบคุมน้ำหนัก ถึงขนาดเข้าไปปรึกษากับนักโภชนาการ เพื่อปรับการกินอาหารให้เข้ากับตัวเอง เลยทำให้เทรนด์การเลือกกินอาหาร Plant-based มาแรงในปี 2023
แต่เทรนด์อาหารที่ตอบโจทย์ทั้งสุขภาพและสิ่งแวดล้อมในปีนี้ 2023 นี้ยังมีผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ทำจากธรรมชาติและอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ อาทิ เนยถั่ว, นมทางเลือกที่ได้มาจากวัว, สมูทตี้ที่ไม่มีส่วนผสมของนม, อาหารประเภทแป้งทางเลือก เช่น แป้งจากกล้วย แป้งจากข้าวโอ๊ต, ซอสและสเปรด (นิยมนำมาปาดขนมปังพร้อมรับประทาน) ที่ดีต่อระบบย่อยอาหาร และถ้าคุณจะเริ่มต้นกับการกินแบบนี้ ให้คุณพยายามเลือกอาหาร Plant-Based ที่มีส่วนช่วยทำให้คุณได้รับโปรตีนเพียงพอกับความต้องการของร่างกายไว้ก่อน
8.ใส่ใจสุขภาพลำไส้และเสริมภูมิคุ้มกัน Gut & Immune Health
ระบบย่อยอาหารและระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย เป็นสองปัจจัยหลักของเทรนด์การดูแลสุขภาพในปี 2023 อาหารที่มีประโยชน์ต่อระบบทางเดินอาหารและลำไส้ อย่างเช่น พืช ผัก ผลไม้ ที่อุดมไปด้วยกากใยไฟเบอร์ ฯลฯ หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของใยอาหารสูง และอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีคุณประโยชน์ทางโภชนาการในการช่วยเสริมสร้างและกระตุ้นภูมิคุ้มกัน จำพวก ขิง กระเทียม หรือผลิตภัณฑ์อาหารที่มีวิตามินซีสูง จะได้รับความนิยมสูง และจะมีผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพใหม่ ๆ เพื่อรองรับเทรนด์สุขภาพนี้ออกมาอีกมากมาย ให้คุณได้ดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ทั้งการช่วยดูแลระบบย่อยอาหาร, ลดความเสี่ยงของการเจ็บป่วย, ตั้งเป้าหมายลดน้ำหนัก, ดูแลอารมณ์และสมอง ที่เป็นเหตุผลหลักของเทรนด์สุขภาพนี้นี้ และเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์สำหรับคนรักสุขภาพแบบคุณ
9.เครื่องดื่มช่วยผ่อนคลาย บำรุงสมอง Good-Mood Foods
ในปีที่ผ่านมามีเทรนด์เพื่อสุขภาพเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงมากมาย เรียกได้ว่ามีอาหารยอดฮิต รสชาติยอดนิยม ออกมาให้ได้ลิ้มลองกันไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าจะเป็น ส้มยูสุ น้ำกระเจี๊ยบ น้ำขิงฟิวชั่น เห็ดทรัฟเฟิล เห็ดรวมปิ้งย่างหมาล่า น้ำขิงพร้อมดื่มแช่เย็น ล้วนแต่เป็นอาหารที่ครองใจใครหลายคนในปี 2022 แต่ในปีนี้ เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ม็อกเทลเพื่อสุขภาพจิต เห็ดสมุนไพร สมุนไพรไทย ล้วนอยู่ในเทรนด์อาหารเพื่อสุขภาพปี 2023 ด้วยคุณประโยชน์ที่มีส่วนช่วยดูแลภาวะความเครียดและสุขภาพสมอง อย่างเช่น
น้ำขิง เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพสุดฮอทฮิตที่ยังคงปังอย่างต่อเนื่อง ด้วยสถานการณ์ที่ทั้วโลกต้องเผชิญกับไวรัสโควิด19 ที่ผ่านมา การดูแลเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายยังคงสำคัญ อีกทั้งขิงยังมีคุณประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ดื่มน้ำขิงช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการทำงานและคลายความเครียด ช่วยให้สมองโล่ง ช่วยให้นอนหลับสบาย
ในผลิตภัณฑ์น้ำขิงเพื่อสุขภาพสำเร็จรูป ที่คาดว่าจะเป็นที่ต้องการของตลาดในปี 2566 ได้แก่ ผลิตภัณฑ์น้ำขิงผสมเห็ดสกัด อาทิ ผสมเห็ดถั่งเฉ้า เห็ดชิตะเกะ และเห็ดหลินจือ
เห็ดถั่งเฉ้า เป็นยาบำรุงร่างกายชั้นยอด มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เหมาะสำหรับผู้ที่รักและดูแลสุขภาพ เพราะถั่งเฉ้ามีส่วนช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกัน,บรรเทาอาการภูมิแพ้, บำรุงไต, บรรเทาอาการอ่อนเพลีย, บรรเทาอาการไอ, บรรเทาอาการเจ็บหน้าอก, บรรเทาอาการหอบหืด, ละลายเสมหะ, บำรุงปอด, ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด, ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด, ใช้บำรุงผู้ป่วยที่เพิ่งฟื้นไข้, ชะลอความชรา, ช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนของเลือดให้คล่องตัว ช่วยขยายหลอดเลือด และเพิ่มปริมาณของเลือดที่เข้าไปหล่อเลี้ยงปอดและหัวใจ เพิ่มระดับออกซิเจนและช่วยบำรุงและเพิ่มประสิทธิภาพของตับและไตให้ดีขึ้น บรรเทาอาการหย่อนและเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ
เห็ดชิตะเกะ เป็นเห็ดที่มีแคลอรี่ต่ำและเป็นแหล่งไฟเบอร์ชั้นดีที่อุดมไปด้วยเกลือแร่ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 12 วิตามินดี และกรดแพนโททีนิค (Pantothenic) นอกจากนี้ยังมีโปรตีน เอนไซม์ กรดอะมิโนที่จำเป็นอีก 8 ชนิด และสารเลนทิแนน (lentinan) ที่มีส่วนช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันให้มีประสิทธิภาพในการต่อสู้ยับยั้งหรือป้องกันร่างกายจากสิ่งแปลกปลอมที่ทำให้เกิดการติดเชื้อและช่วยฟื้นฟูร่างกาย นับว่าเป็นเห็ดที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก
เห็ดหลินจือ ถือเป็นสมุนไพรจีนที่ใช้เพื่อรักษาทางการแพทย์มานานกว่า 4,000 ปี และมีสรรพคุณที่หลากหลาย ในทางการแพทย์แผนปัจจุบัน มีการนำคุณประโยชน์ของเห็ดหลินจือที่มีส่วนช่วยเสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย ไปใช้ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ผู้ติดเชื้อ HIV และช่วยลดอาการข้างเคียงหรือแก้พิษจากการทำคีโม
“กินอาหารให้เป็นยา อย่ากินยาเป็นอาหาร เป็นการดูแลสุขภาพด้วยอาหารที่เรากินทุกวัน”
10.สวยครบ จบที่บ้าน At-Home Self-Care & Beauty
ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวยังคงได้รับความนิยมในปีที่ผ่านมา แต่เรากําลังก้าวไปอีกขั้นของการดูแลตนเองโดยรวมและเคล็ดลับความงามที่เรียบง่ายมีประสิทธิภาพและสามารถทําได้แบบสะดวกสบายด้วยตัวคุณเองที่บ้าน ตัวอย่างเช่น
เทรนด์ปี 2023 การกำหนดนิยามใหม่ของสุขภาพ ด้วยการให้ความสำคัญกับสุขภาพร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ ความหมายของการมีสุขภาพที่ดี จึงมีการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในปีหน้า คาดหวังที่จะเห็นการเน้นที่มากขึ้นเกี่ยวกับเคล็ดลับสุขภาพจิต ในที่บ้าน ที่ทำงาน และระหว่างเดินทาง รวมไปถึงอาหารหรือเครื่องดื่มที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีคุณประโยชน์ทางโภชนาการเพื่อสุขภาพที่ยั่งยืน และวิธีแก้ปัญหาในการดูแลตัวเองที่เข้าถึงได้ และหวังว่าเทรนด์สุขภาพในปี 2023 เหล่านี้จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับกิจวัตรประจำวันของคุณ และทำให้ปีหน้ามีสุขภาพที่ดีนะคะ
ที่มา: 2023 Wellness Trends We’re Watching