โรคไต เป็นแล้วรักษากันทั้งชีวิต การดูแลและวิธีรักษาโรคไตก็มีค่าใช้จ่ายสูง สาเหตุโรคไตก็มีได้หลายอย่างมากมาย บางคนเป็นมาแต่กำเนิด เกิดจากกรรมพันธุ์ จากการติดเชื้อ เกิดจากโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคเกาต์ ฯลฯ และเกิดจากพฤติกรรมการกินที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคไตสูง แต่การกินแบบไหนเสี่ยงโรคไตบ้าง ต้องอ่านนะคะ
ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ สาขาวิชาโรคไต ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลว่า คนไทยนิยมกินเค็มและมีพฤติกรรมการกินอาหารรสเค็มมากกว่าความต้องการของร่างกาย 2 - 3 เท่า หรือประมาณ 7,000 มิลลิกรัม (คนปกติไม่ควรกินโซเดียมเกินวันละ 2,300 มิลลิกรัม หรือคิดเป็นเกลือป่นประมาณ 6 กรัม (1 ช้อนชา) โดยเฉพาะการกินอาหารนอกบ้านอย่างอาหารฟาสต์ฟู้ด เช่น พิซซ่า แฮมเบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟรายส์ อาหารปิ้งย่างสไตล์เกาหลี ฯลฯ นั้นเสี่ยงต่อการได้รับโซเดียมมากที่สุด
วิธีสังเกตผลกระทบที่เกิดจากการกินรสเค็มมากเกินไป และอาจเป็นอาการของโรคไตเบื้องต้นก็ได้ คือหากรับประทานอาหารรสเค็มแล้วมีอาการบวม เช่น ขาบวม ตาบวม หรือกินรสเค็มแล้วรู้สึกหิวน้ำมาก แสดงว่าเริ่มกินเค็มมากเกินไป นอกจากนี้ยังสามารถสังเกตได้จากปัสสาวะ หากพบว่าปัสสาวะมีฟองหรือมีสีเข้ม แสดงว่าร่างกายเริ่มมีความเสี่ยงโรคไตอันเกิดจากการกินรสเค็มจัด
ดังนั้น ถ้าหากต้องการป้องกันโรคไต ควรเริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินเป็นอันดับแรก โดยเฉพาะเรื่องการกินอาหารที่มีรสเค็ม
ควรกินอาหารรสเค็มให้น้อยลง หลีกเลี่ยงการปรุงรสเพิ่มเติม คืออาหารสําหรับคนเป็นโรคไต เขาห้ามกินรสจัดเลยนะ และควรกินผักผลไม้ให้มากขึ้น หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ รวมไปถึงการเลือกกินอาหารทางเลือกสุขภาพ หรือ เครื่องดื่มทางเลือกสุขภาพ อาทิ หากจำเป็นหรือหลีกเลี่ยงอาหารสำเร็จรูปไม่ได้ แต่เราเลี่ยงความเสี่ยงโรคไตได้ด้วยการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีเครื่องหมายรับรอง “ทางเลือกสุขภาพ”
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงผลิตภัณฑ์อาหารที่ผ่านเกณฑ์การพิจารณาจาก คณะกรรมการอาหารแห่งชาติ และมูลนิธิส่งเสริมโภชนาการ ในพระราชูปถัมภ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณน้ำตาล ไขมัน และเกลือ (โซเดียม) ที่เหมาะสม อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด กินได้ กินดี ไม่ต้องลุ้นหรือเสี่ยงโรคไต และเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้ผู้บริโภคปรับพฤติกรรมการบริโภคให้เหมาะสมมากขึ้น ช่วยให้สามารถตัดสินใจเลือกซื้อได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งเป็นการลดปัจจัยเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ภาวะไตวายเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด ฯลฯ อีกด้วย