Live & Fit Healthy Recipes “เมนูนี้ปราศจากไขมัน (Fat Free)”
Healthy Cocktail เครื่องดื่มขิงตะไคร้ในน้ำผึ้ง
ส่วนผสม
1. ฮอทต้า ขิงผสมน้ำผึ้ง 8-10 ซอง (เพิ่ม-ลด ตามชอบ)
2. น้ำสะอาด 5 ถ้วย
3. ตะไคร้สด 1 กำ (9-10 ต้น) แยกไว้ตกแต่งแก้วต่างหากด้วยนะ
4. น้ำแข็งก้อน (ตามชอบ)
วิธีทำ
1. นำน้ำสะอาดใส่ภาชนะตั้งไฟ (ปานกลาง) ควบคู่ไปกับ...
2. ล้างตะไคร้ให้สะอาด แล้ว บุ หรือ ทุบ พร้อมนำใส่หม้อที่ตั้งไฟ รอเดือดและน้ำเป็นสีเขียวอ่อน ๆ
3. ฉีกซอง ฮอทต้า ขิงผสมน้ำผึ้ง เทลงผสม คนให้ละลาย ปิดไป รอให้หายร้อน
4. กรองน้ำต้มตะไคร้ด้วยผ้าขาวบาง แล้วตักหรือเทใส่ภาชนะบรรจุ เพื่อแช่เย็นไว้ดื่ม หรือใส่น้ำแข็งก้อนตามชอบ ดื่มอร่อยได้รสขิงชื่นใจ พร้อมคุณค่าตะไคร้และน้ำผึ้ง เพื่อสุขภาพดีตลอดเทศกาลปีใหม่นี้
รู้ไหมว่า...
ขิง
อุดมไปด้วยสาร จินเจอร์รอล, วิตามิน, ใยอาหาร และแร่ธาตุต่างๆ ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยเฉพาะขิงแก่สดอายุ 11 – 12 เดือน จะมีปริมาณสารจินเจอร์รอลมากที่สุด ซึ่งเป็นสารในกลุ่มฟีนอลที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ หรือเปรียบดั่งสมุนไพรรักษามะเร็ง นอกจากนี้ ประโยชน์ของขิง ยังสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ในร่างกายได้ อาทิ ขิงแก้หวัด เพราะ “จินเจอร์รอล” สารสำคัญในขิง มีส่วนช่วยให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย กระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต และกระตุ้นการทำงานของระบบป้องกันร่างกาย เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ในขณะเดียวกัน ปริมาณเหงื่อที่มากขึ้น ก็ช่วยขับพิษหรือไวรัสออกจากร่างกาย จึงมีส่วนช่วย ป้องกันไข้หวัดได้ อีกทั้งยังมีส่วนช่วยบรรเทาอาการอื่น ๆ ที่อาจมาพร้อมกับไข้หวัด เช่น
ขิงแก้เจ็บคอ จึงเป็นตัวเลือกยอดนิยมของใครหลาย ๆ คน ที่เวลารู้สึกเจ็บคอมักชอบจิบน้ำขิง เนื่องจากขิงสามารถช่วยต้านการอักเสบ รวมทั้งสามารถช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ตัวการของอาการเจ็บคอได้อีกด้วย
ขิงแก้ไมเกรน โดยมีการศึกษาวิจัยล่าสุดในต่างประเทศ ทำการศึกษาวิจัยในเรื่องการใช้ขิงรักษาอาการปวดไมเกรน โดยทำการศึกษาวิจัยในผู้ป่วยไมเกรน 100 ราย ในแผนกประสาทวิทยา ของโรงพยาบาลในประเทศอิหร่าน ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่รับประทานขิง อาการปวดไมเกรนลดลงดีเทียบเท่ากับกลุ่มที่รับประทานยาแก้ปวดแผนปัจจุบัน คือ สามารถลดอาการปวดไมเกรนได้ถึง 60% ภายในเวลา 2 ชั่วโมงหลังรับประทานยา และพบว่าแคปซูลขิง มีข้อดีที่เหนือกว่ายาแผนปัจจุบัน คือ ไม่พบอาการข้างเคียงจากการรับประทานยา ซึ่งการที่ขิงสามารถบรรเทาอาการปวดไมเกรนได้นั้น น่าจะมาจากการที่ขิงมีฤทธิ์ในการลดกระบวนการอักเสบ ลดอาการปวดในร่างกาย ลดการสร้างสารพรอสตาแกลนดิน (prostaglandins) ที่ทำให้ปวดและอักเสบนั่นเอง
อีกทั้งความเผ็ดร้อนของขิงมีส่วนช่วยป้องกันไม่ให้โคเลสเตอรอล หรือไขมันตัวร้ายแข็งตัว จึงมีส่วนช่วยป้องกันผลเสียที่อาจเกิดขึ้นกับระบบโลหิตภายในร่างกาย ที่เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด
เคล็ดลับการบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ คือการรู้จักคุณค่าของส่วนประกอบในแต่ละเมนู ซึ่งการนำขิงมาเป็นวัตถุดิบหลัก มีส่วนช่วยให้ได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย หลักการ กินอย่างฉลาด เพิ่มคุณประโยชน์ให้ร่างกายมากกว่าเดิม เพิ่มเติมคือการมีสุขภาพดี อ่านประโยชน์ขิงเพิ่มเติมได้ที่ https://www.liveandfit.com/th/เคล็ดลับสุขภาพ/ประโยชน์ของขิง-ดีจริงจนต้องบอกต่อ.html
น้ำผึ้ง
นอกจากจะมีรสชาติและกลิ่นหอมหวานแล้ว น้ำผึ้งยังอุดมไปด้วยคุณประโยชน์ต่อสุขภาพและความงามของผิวพรรณอีกด้วย
เพราะน้ำผึ้งคือน้ำหวานจากดอกไม้นานาพันธุ์และแหล่งน้ำหวานอื่น ๆ จากธรรมชาติที่ผึ้งนำมาเก็บสะสมไว้ในรังผึ้ง จากนั้นเหล่าผึ้งจะกินน้ำหวานที่ได้มาเข้าไป และน้ำหวานที่ผ่านการย่อยและผ่านเอนไซม์ในท้องผึ้งก็จะกลายมาเป็นน้ำผึ้งอยู่ในรังผึ้งอย่างที่เรารับประทานกันและมีคุณค่าทางโภชนาการมากมาย โดยน้ำผึ้ง 100 กรัม จะให้พลังงาน 303 กิโลแคลอรี่ ประกอบไปด้วยสารสำคัญต่อไปนี้ น้ำประมาณ 20%, น้ำตาลชนิดต่าง ๆ เช่น กลูโคส และฟรักโทส (ซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดียวที่สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและนำไปใช้ประโยชน์ได้ง่าย) ประมาณ 79%, กรดชนิดต่าง ๆ ประมาณ 0.5%, วิตามิน เอนไซม์ และแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 6 และวิตามินซี ประมาณ 0.5% และ ในน้ำผึ้งยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยหนึ่งในนั้นคือสารฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) ที่มีส่วนช่วยในการบำรุงผิวพรรณ ปกป้องผิวจากรังสียูวี และช่วยเสริมสร้างเซลล์ใหม่ให้แก่ผิวหนังด้วย จึงมีการนำน้ำผึ้งมาเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางชนิดต่างๆ และคุณสมบัติที่โดดเด่นของน้ำผึ้งอยู่ที่การต่อต้านแบคทีเรีย เพราะมีสารที่ชื่อว่า "ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์" ช่วยต่อต้านแบคทีเรียได้อย่างดีเยี่ยม และกำจัดเชื้อโรคได้โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้น้ำผึ้งถูกนำไปใช้ประโยชน์ในการรักษาโรคผิวหนัง รวมถึงการบำรุงความสวยความงามอย่างกว้างขวาง