| Health Tips

ลดน้ำหนักแบบธรรมชาติ ปลอดภัย ดีต่อสุขภาพ

  Add Friend
อัพเดตโปรโมชั่นและข่าวสารดีๆ ผ่านทาง LINE LIVE & FIT
ID : @Liveandfit
 23 June 2022
 1996 times
 | 
SHARE 3 times

 

     ปัจจุบันการลดน้ำหนักที่เห็นผลเร็วมักไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพ เช่น การอดอาหาร หรือการกินยาลดความอ้วน ดังนั้น LiveandFit จึงมีวิธีลดน้ำหนักแบบธรรมชาติ เป็นที่ยอมรับและได้รับความนิยมเพราะปลอดภัยแถมยังได้สุขภาพดี มาฝากกันค่ะ
 

     1. กินอาหารครบทุกมื้อ

     การอดอาหารเป็นวิธีการลดน้ำหนักที่ผิด เพราะหากเราไม่กินอาหารเป็นเวลานานแล้วกลับมากินแบบปกติ จะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นกว่าเดิมหรือที่เรียกติดปากกันว่าโยโย่เอฟเฟค โดยเฉพาะการกินอาหารมื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด และมีส่วนช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้ เนื่องจากระยะเวลาของการกินอาหารมื้อเย็นไปจนถึงมื้อเช้าของวันใหม่ กระเพาะอาหารของเราจะไม่ได้รับอะไรลงไปกว่า 12 ชั่วโมง และหากเรายิ่งไม่กินอาหารเช้าเข้าไปอีก จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลง จนไปเพิ่มแนวโน้มการกินอาหารที่มีพลังงานและไขมันสูงในมื้อเที่ยงมากขึ้น จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เรามีน้ำหนักตัว แต่สำหรับมื้อเย็น ควรเลือกกินอาหารจำพวกผักผลไม้แทนอาหารประเภทข้าวหรือแป้ง หรือเครื่องดื่มที่ทำให้อิ่มท้องแต่มีแคลอรี่ต่ำ จะช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้อย่างเห็นผลแน่นอน

     2. เคี้ยวอาหารให้ละเอียด

     การเคี้ยวอาหารให้ละเอียดมีส่วนช่วยให้เรากินอาหารช้าลงและทำให้สมองสั่งงานว่าอิ่มแล้ว ซึ่งทำให้เรากินอาหารได้น้อยกว่าเดิมและส่งผลให้น้ำหนักไม่เพิ่มขึ้น น้ำหนักคงที่ หรือน้ำหนักลดลงในที่สุด

     3. ควบคุมแคลอรี่

     พยายามควบคุมปริมาณอาหารในแต่ละมื้อหรือแคลอรีที่กินในแต่ละวันไม่ให้เกินจากที่ร่างกายควรได้รับ (เฉลี่ยไม่ควรเกิน 2,000 กิโลแคลอรี่/วัน)

     4. หลีกเลี่ยงอาหาร-เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล

     น้ำตาลมีสารประกอบโดยรวมที่ทำให้อ้วนได้ง่าย อีกทั้งกลูโคสไปช่วยลดระดับฮอร์โมนในร่างกายที่กระตุ้นความหิว แทนที่จะทำให้รู้สึกอิ่มแต่กลับรู้สึกหิวและกินเพิ่มมากขึ้น เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงแบบที่อินซูลินก็ช่วยอะไรไม่ได้ น้ำตาลจะมีการเปลี่ยนรูปไปเป็นไขมัน และเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นและเป็นโรคอ้วน

     องค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) แนะนำให้ผู้ใหญ่และเด็กบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชา หรือ 25 กรัม/วัน แต่ปัจจุบันพบว่าคนส่วนใหญ่บริโภคน้ำตาลเกินมาตรฐานของ WHO สูงสุดถึง 3 เท่า หรือ 20 ช้อนชา/วัน โดยเฉพาะคนวัยทำงานเป็นคนกลุ่มหลักที่บริโภคน้ำตาลมากเกินไป อาจด้วยลักษณะการทำงานที่เอื้อต่อการกินอาหารและเครื่องดื่มที่ต้องปรุงแต่ง เพิ่ม เติม น้ำตาลเข้าไป ซึ่งเครื่องดื่มและน้ำผลไม้เติมน้ำตาลอย่างน้ำอัดลม น้ำหวาน กาแฟ หรือชานมไข่มุก ถือเป็นแหล่งที่มาของน้ำตาลในอันดับต้น ๆ และมีข้อมูลทางการแพทย์ยืนยันตรงกันว่า การกินน้ำตาล 1 ช้อนชา มีส่วนทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายลดลง 50% ในระยะเวลา 6 ชั่วโมงอีกด้วย

     5. พักผ่อนให้เพียงพอและหมั่นออกกำลังกาย

     ควรพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 7- 8 ชั่วโมง หากเรานอนดึกหรือพักผ่อนน้อยจะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของร่างกาย และอาจมีส่วนทำให้หิวตอนกลางคืนอีกด้วย และพยายามหาเวลาออกกำลังกาย เพราะการออกกำลังกายยังเป็นคู่ปรับสำคัญของความอ้วนเสมอ มีการออกกำลังกายที่ไหน มีสุขภาพดีที่นั่น นะคะ

     6. เลือกสมุนไพรธรรมชาติ

     สมุนไพรคือภูมิปัญญาและทรัพยากรธรรมชาติที่ได้การยอมรับและสร้างความมั่นใจเพื่อเชื่อมต่อไปสู่การนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงอย่างกว้างขวาง มีงานวิจัยองค์ความรู้ด้านสมุนไพรในประเทศไทย ที่ส่วนใหญ่มุ่งเน้นการหาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาสนับสนุนในด้านคุณภาพ ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และความปลอดภัย และไม่ใช่เฉพาะคนไทยที่นิยมในสมุนไพรธรรมชาติ แต่ในหลายประเทศทั่วโลกก็กำลังลังศึกษาวิจัยสมุนไพร โดยเฉพาะสมุนไพรจากธรรมชาติที่มีส่วนช่วยลดน้ำหนัก ถือเป็นการศึกษาวิจัยสมุนไพรที่มีแนวโน้มว่าในอนาคต การดูสุขภาพและรูปร่างด้วยสมุนไพรจะยิ่งได้รับความนิยมมากขึ้น สังเกตได้จากเทรนด์การดูแลสุขภาพด้วยผลิตภัณฑ์สุขภาพสมุนไพรจากธรรมชาติ ที่ต้องคัดสรรเลือกหาแต่ผลิตภัณฑ์คุณภาพดี มีความน่าเชื่อถือ หรือเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพสมุนไพรที่กำกับดูแลโดย กองผลิตภัณฑ์สมุนไพร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ที่ให้มีการส่งเสริมและสนับสนุน ตลอดจนยกระดับคุณภาพมาตรฐานของผลิตภัณฑ์สุขภาพสมุนไพร เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งผลิตภัณฑ์สุขภาพสมุนไพรที่มีส่วนช่วยลดน้ำหนักแบบธรรมชาติ กินแล้วปลอดภัย ลดได้จริง จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ 4 สมุนไพร ดอกคำฝอย, พริกไทยดำ, ผลส้มแขก และใบมะขามแขก ที่มีสรรพคุณในการควบคุมระดับโคเลสเตอรอลและช่วยให้มีระบบขับถ่ายที่เป็นปกติ
 


 

     ดอกคำฝอย

     ดอกคำฝอย (Safflower) เป็นสมุนไพรมีคุณค่าทางยาสูง สามารถช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันส่วนเกิน ลดไขมันในเส้นเลือด ลดความดันโลหิต ช่วยบำรุงโลหิต บำรุงประสาท และน้ำมันของดอกคำฝอยยังสามารถช่วยลดโคเลสเตอรอล หรือทำให้ปริมาณโคเลสเตอรอลในเลือดต่ำลงได้อีกด้วย

 

     ในดอกคำฝอยประกอบไปด้วยสารที่ออกฤทธิ์ต่อหลอดเลือดแดง เช่น สารโพลีฟีนอล (Polyphenols) และสารเซโรโทนิน (Serotonin) ที่ช่วยยับยั้งไขมันชนิดที่ไม่ดี (LDL) ลดการก่อตัวของพลัค (Plaques) ตามผนังหลอดเลือด จึงมีส่วนช่วยควบคุมระดับความดันโลหิต ในดอกคำฝอยยังมีสารประกอบอีกหลายชนิดที่เชื่อกันว่าอาจมีคุณประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด ช่วยลดระดับไขมันในเลือด และอาจดีต่อผู้ป่วยโรคเบาหวาน

     มีผลการศึกษาที่พบว่าการบริโภคดอกคำฝอยเป็นเวลานานค่อนข้างปลอดภัยต่อร่างกาย และอาจมีส่วนช่วยบรรเทาภาวะหลอดเลือดแดงแข็งได้ อย่างไรก็ตาม ยังคงจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติม เพื่อพิสูจน์ประสิทธิภาพของดอกคำฝอยให้ชัดเจนยิ่งขึ้นต่อไป

     นอกจากนี้ "ดอกคำฝอย" ยังมีฤทธิ์ช่วยระบายอ่อน ๆ ช่วยในการขับเหงื่อและช่วยในเรื่องของระบบขับถ่ายได้ดีเช่นกัน



 

     พริกไทยดำ

     ในตำราไทยจะนำพริกไทยดำมาทำเป็นสมุนไพรเพื่อแก้อาการจุกเสียด แน่นเฟ้อ จากอาหารไม่ย่อย แก้อาการอ่อนเพลีย แก้ปวด แก้อักเสบ โรคกระเพาะ รักษาโรคต่าง ๆ ในลำไส้ เป็นต้น ที่สำคัญ พริกไทยดำเป็นเครื่องเทศที่ใช้ลดความอ้วนได้ เพราะในพริกไทยดำ มีน้ำมันหอมระเหย 1-2.5 % มีสารอัลคาลอยด์หลัก คือ สารไพเพอรีน ประมาณ 5-9 % ซึ่งเป็นตัวทำให้เผ็ดร้อนและมีกลิ่นฉุน (พริกไทยอ่อนจะมีกลิ่นฉุนน้อยกว่าพริกไทยดำ) สารไพเพอรีน มีคุณสมบัติในการต่อต้านความอ้วน ซึ่งได้รับการรับรองจากการวิจัยจากประเทศสหรัฐอเมริกาแล้วว่า พริกไทยดำสามารถลดความอ้วนได้จริงและสามารถลดน้ำหนักได้อย่างดีเยี่ยม

     การกินพริกไทยดำ ยังช่วย (เบิร์น) กระตุ้นการหลั่งของกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานที่ได้รับจากการกินอาหารไปใช้ได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น ทำให้ไม่เกิดการสะสมของไขมัน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความอ้วน พร้อมกับควบคุมการเกิดขึ้นใหม่ของเซลล์ไขมัน ทำให้ผอมลงและกลับมาอ้วนอีกได้ยากขึ้นด้วย


 

     ผลส้มแขก

     ผลส้มแขกมีสาร HCA (Hydroxy Citric Acid) ที่มีส่วนช่วยยับยั้งการสะสมไขมัน ด้วยกระบวนการยับยั้งเอนไซม์ในกระบวนการสร้างไขมันจากการบริโภคอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต หรือที่เรียกว่า (บล็อก) ยับยั้งไม่ให้อาหารประเภท ข้าว แป้ง และน้ำตาล เปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมตามร่างกาย และจะ (เบิร์น) นำไปใช้เป็นพลังงานให้กับร่างกาย ทำให้ร่างกายสดชื่นไม่อ่อนเพลีย

     มีการศึกษาที่พบว่า หนูทดลองกินสารสกัดจากส้มแขกในปริมาณ 400 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เป็นเวลา 10 สัปดาห์ แล้วพบว่าน้ำหนักตัวของหนูและภาวะการอักเสบลดลง อีกทั้งยังมีความทนต่อน้ำตาลกลูโคสที่ดีขึ้นด้วย และยังมีงานวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ให้เห็นอีกว่า กรดไฮดรอกซีซิตริกอาจมีส่วนช่วยในการลดน้ำหนักในระยะสั้น และมีการศึกษาทดลองในสัตว์เป็นระยะเวลา 10 สัปดาห์ พบว่า สารสกัดจากส้มแขกอาจช่วยลดระดับไขมันในเลือดของหนูทดลองที่ถูกทำให้อ้วนจากอาหารที่มีไขมันสูง และลดความเสียหายของเซลล์ที่เกิดจากอนุมูลอิสระได้
 


 

     ใบมะขามแขก

     ใบมะขามแขกใช้ปรุงเป็นยาถ่ายหรือยาระบายได้ดี มีส่วนช่วยแก้อาการท้องผูกได้ โดยให้นำใบมะขามแขกประมาณ 2 หยิบมือ (ประมาณ 2 กรัม) นำมาต้มกับน้ำ 1 ถ้วยแก้วประมาณ 4 นาที และใส่เกลือเล็กน้อยเพื่อช่วยกลบรสเฝื่อน แล้วใช้ดื่มเพียงครั้งเดียว หรืออีกวิธีจะใช้วิธีการบดใบแห้งให้เป็นผง ใช้ชงกับน้ำดื่มก็ได้ สำหรับบางรายที่ดื่มแล้วเกิดอาการไซ้ท้อง หรืออาการปวดมวนท้องให้แก้ไขด้วยการนำมาต้มรวมกับยาขับลมปริมาณเพียงเล็กน้อย เช่น ขิง กานพลู อบเชย กระวาน เพื่อช่วยบรรเทาอาการไซ้ท้องหรือปวดมวนท้องและเพื่อแต่งรสให้ดีขึ้น ใบมะขามแขกยังมีสรรพคุณช่วยทำให้อาเจียน ช่วยถ่ายพิษไข้ ช่วยถ่ายพิษเสมหะ ช่วยแก้อาการสะอึก ช่วยขับลมในลำไส้ ช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ ช่วยถ่ายพิษอุจจาระเป็นมูก ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร เป็นยาถ่ายพยาธิ ช่วยถ่ายโรคบุรุษ ช่วยถ่ายน้ำเหลือง ช่วยลดอาการบวมน้ำ ฯลฯ มีข้อมูลทางเภสัชวิทยาของใบมะขามแขก ช่วยในการขับถ่ายอุจจาระ ต่อต้านการก่อกลายพันธุ์ และต้านเชื้อแบคทีเรีย

     แต่การหาแหล่งซื้อสมุนไพรและวิธีการปรุงสมุนไพรค่อนข้างยุ่งยาก ปัจจุบันจึงมีผู้ผลิตยาสมุนไพรที่มีส่วนผสมของดอกคำฝอย, พริกไทยดำ, ผลส้มแขก และใบมะขามแขก วางขายตามร้านขายยาทั่วไป ในรูปแบบ4 สมุนไพรสกัด ที่มีส่วนช่วยในการ Block & Burn ไขมัน และดูแลระบบขับถ่ายในแคปซูลเดียว