LOGIN / REGISTER
OR
New Register
การดำเนินการต่อถือว่าคุณยอมรับ
Terms of Use and Privacy Policy
เราอาจส่งข่าวสารให้ท่าน ท่านสามารถปิดการรับข่าวสาร
ได้โดยเปลี่ยนการตั้งค่าในบัญชีของท่าน
เราจะไม่ส่งข่าวสารโดยไม่ได้รับอนุญาตจากท่าน
LOGIN / REGISTER
New Register
Or Login By
OR
Order by Guest Account
การดำเนินการต่อถือว่าคุณยอมรับ
Terms of Use and Privacy Policy
เราอาจส่งข่าวสารให้ท่าน ท่านสามารถปิดการรับข่าวสาร
ได้โดยเปลี่ยนการตั้งค่าในบัญชีของท่าน
เราจะไม่ส่งข่าวสารโดยไม่ได้รับอนุญาตจากท่าน
MY CART
Manage Item
ยังไม่มีคำสั่งซื้อ
You might also like
PRODUCTS
CUSTOMER SERVICE
ABOUT US
PROMOTION
REWARDS
HELPING
เช็กให้แน่ ! ไข้หวัด หรือ โควิด และ 7 วิธีเสริมภูมิคุ้มกันง่าย ๆ
เช็กให้แน่ ! ไข้หวัด หรือ โควิด และ 7 วิธีเสริมภูมิคุ้มกันง่าย ๆ

โรคไข้หวัดธรรมดา เกิดจากเชื้อไวรัสไรโนไวรัส (Rhinovirus) ที่ทำให้เกิดโรคกับทางเดินหายใจ

โรคโควิด-19 เกิดจาก ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (โคโรนาไวรัส ถูกค้นพบและมีมานานแล้ว มีการพบเชื้อไวรัสโคโรนาที่ติดต่อในมนุษย์แล้ว 6 สายพันธุ์) เป็นไวรัสที่สามารถทำให้ปอดมีอาการอักเสบรุนแรงได้ เป็นเชื้อไวรัสถูกค้นพบใหม่ นับเป็นสายพันธุ์ที่ 7 ของไวรัสโคโรนาที่ติดต่อในคน

อาการป่วยโดยรวมของโรคกลุ่มนี้จะมีความคล้ายกันรวมไปถึงอาการของโรคภูมิแพ้ โรคไข้หวัดใหญ่ เพราะสามารถติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจและมีอาการเล็กน้อยไปจนถึงรุนแรงได้ แต่หากเราทำความรู้จักโรค แยกอาการให้เป็น สังเกตความแตกต่าง ไม่ตื่นตะหนก และหมั่นดูแลรักษาสุขภาพเน้นสร้างภูมิคุ้มกัน คือสิ่งที่ดีที่สุด
 

โรคโควิด-19
ในบางรายอาจไม่มีอาการรุนแรง และบางอาการอาจมีในบางคน แต่รวม ๆ จะมีอาการเหมือนคนเป็นไข้หวัดใหญ่ แต่จะเจ็บคอและหายใจผิดปกติมากกว่าคนเป็นไข้หวัดทั่วไป โดยมีอาการหายใจลำบากและแน่นหน้าอก บางคนมีอาการรุนแรงมาก ทำให้เกิดปอดอักเสบได้ แต่การเป็นโรคโควิด-19 นี้ สามารถหายได้เอง รูปแบบการรักษาก็เป็นไปตามอาการที่แตกต่างกันไปของแต่ละบุคคล ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคโควิด-19 นี้ จะช่วยให้เราดูแลสุขภาพและสามารถป้องกันตนเองได้อย่างถูกวิธี
 
โรคไข้หวัดใหญ่
แบ่งเป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล เกิดจากการติดเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza Virus) เป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่ที่พบกันมานานแล้ว อาการมักจะไม่รุนแรง และยังมีไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ที่ปัจจุบันได้กลายเป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ที่พบปะปนกับสายพันธุ์ต่าง ๆ ทั่วไป และมีอาการคล้ายกับโรคโควิด-19 ค่อนข้างมาก แต่ที่แตกต่างคือมักจะไม่มีอาการทางเดินหายใจส่วนล่าง คือ หายใจลำบาก แน่นหน้าอก และเมื่ออาการที่คล้ายคลึงกัน เวลาไปพบแพทย์ แพทย์จะทำการส่งตรวจเชื้อไข้หวัดใหญ่ก่อนอันดับแรก เพื่อตัดประเด็นความคล้ายคลึงกันของอาการออกไปนั่นเอง
 
โรคไข้หวัด
เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มีหลายสายพันธุ์ และมักพบผู้ที่ป่วยเป็นโรคไข้หวัดในช่วงที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง เช่น ฝนตก อากาศหนาว หรือร้อนจัด ก็เป็นหวัดได้ ความรุนแรงของโรคก็ไม่มาก และสามารถหายเองได้ภายในไม่กี่วัน โรคไข้หวัดสามารถติดต่อผ่านทางน้ำลาย น้ำมูก เสมหะ ไอ จาม หรือมือที่เปื้อนเชื้อโรคสัมผัสจมูกหรือตา หรือการใช้สิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ร่วมกับผู้ป่วย
 
โรคภูมิแพ้
เกิดจากการตอบสนองของร่างกายที่ไวต่อสารก่อภูมิแพ้มากกว่าปกติ หรือเรียกง่าย ๆ ว่า ภาวะภูมิไวเกิน (Hypersensitivity) แล้วมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารต่าง ๆ ที่ร่างกายรับเข้ามาในชีวิตประจำวัน เช่น ละอองเกสร ไรฝุ่น ความชื้นในอากาศที่เปลี่ยนแปลง อาหาร ฯลฯ ทำให้เกิดอาการผิดปกติกับร่างกาย หรืออวัยวะที่สัมผัสสารก่อภูมิแพ้นั้น ๆ ได้แก่ คันจมูก ผื่นคัน จาม มีน้ำมูก คัดจมูก ไอ หอบ แน่นหน้าอก หายใจไม่คล่อง เป็นต้น ซึ่งในแต่ละคนจะมีอาการและความรุนแรงแตกต่างกันที่สามารถรบกวนชีวิตประจำวันเล็กน้อยไปจนถึงขั้นที่อันตรายถึงชีวิต

ระบบภูมิคุ้มกันเป็นกลไกหลักในการป้องกันร่างกายและต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ที่พยายามเข้ามาในร่างกายแล้วก่อให้เกิดการติดเชื้อ โรคภัย ตลอดจนช่วยให้ร่างกายเกิดการฟื้นตัว ได้อย่างน่าทึ่งและช่วยให้เรามีสุขภาพดี อย่างไรก็ตาม หากระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องหรืออ่อนแอ ก็มีส่วนทำให้เกิดการติดเชื้อและล้มป่วยได้


LiveandFit มีไอเดียดี ๆ ในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันโดยไม่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต เพียงแค่เราปรับใช้ให้เกิดความคุ้นชินเป็นนิสัยเพื่อให้ร่างกายตอบสนองต่อการโจมตีของเชื้อโรค และ 7 เคล็ดลับนี้ คือวิธีเสริมภูมิคุ้มกันร่างกายแบบง่าย ๆ ที่ควรทำประจำให้เป็นนิสัยเพื่อให้คุณยกการ์ดสูงขึ้นอีกนะคะ
 
1. กินอาหารต้านโรค
เลือกกินอาหารที่อุดมไปด้วยคุณค่าสารอาหารที่เป็นกุญแจสำคัญในการเสริมภูมิคุ้มกันปกป้องร่างกายของเราจากการเจ็บป่วย เช่น ผักใบเขียว ผลไม้สีเหลือง สีส้ม ผลิตภัณฑ์จากนม พืชตระกูลถั่ว ไข่ และ ขิง ที่เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินต่าง ๆ จำพวก วิตามินบี วิตามินซี วิตามินอี แร่ธาตุสำคัญอย่าง ซิงค์ จินเจอร์รอล เซเลเนียม มีส่วนช่วยกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงเพื่อต่อสู้กับการติดเชื้อ

2. นอนหลับให้เพียงพอ
เพราะการนอนหลับไม่เพียงพอ จะปล่อยฮอร์โมนความเครียดในร่างกายออกมาในระดับที่สูงขึ้น และอาจทำให้เกิดการอักเสบในร่างกายมากขึ้น แน่นอนว่าต้องมีบางครั้งที่ร่างกายของเราอาจต้องอดนอน ให้ลองหาสาเหตุที่ทำให้คุณนอนไม่หลับและพยายามขจัดปัญหานี้ออกไป การนอนหลับให้เพียงพอเป็นเวลา 7-8 ชั่วโมง สามารถสร้างปาฏิหาริย์ในการเพิ่มภูมิคุ้มกันของคุณได้ โดยการศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยชิคาโก ในผู้ที่นอนหลับคืนละ 7 ชม. เป็นเวลา 4 วัน แล้วให้วัคซีนไข้หวัด พบว่าคนกลุ่มนี้จะสามารถสร้างแอนติบอดี ซึ่งเป็นเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไข้หวัดได้มากกว่าผู้ที่นอนหลับคืนละ 4 ชม. ถึง 50%

3. เลี่ยงการบริโภคน้ำตาล
คนส่วนใหญ่รู้ว่าน้ำตาลส่วนเกินในอาหารมีส่วนทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนมากมาย แต่รู้ไหมว่า น้ำตาลยังส่งผลเสียต่อเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันรวมทั้งเซลล์เม็ดเลือดขาวซึ่งมีหน้าที่โจมตีแบคทีเรียที่ไม่ดีในร่างกายของเรา ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดต่อระบบภูมิคุ้มกันของคุณก็คือ การหลีกเลี่ยงน้ำตาลหรือจำกัดปริมาณน้ำตาลอย่าให้เกิน 4 ช้อนชาต่อวัน หรือเลือกสารให้ความหวานแทนน้ำตาล จำพวก ซูคราโลส หรือ ใบหญ้าหวานสกัด

4. ออกกำลังกายทุกวัน
เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่รู้ว่า การออกกำลังกายมีประโยชน์ต่อสุขภาพจริง ๆ ด้วยเหตุผลหลายประการมากมาย แต่รู้ไหมว่า การออกกำลังกายยังมีส่วนช่วยกระตุ้นระบบประสาทที่มีหน้าที่ในการปล่อยฮอร์โมนอะดรีนาลีนและนอร์เอพิเนฟรินที่ทำหน้าที่กระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกันของเรา ที่สำคัญคือเราต้องเข้าใจก่อนว่า การออกกำลังกายทุกวันไม่จำเป็นต้องสุดโต่ง เพียงเราออกกำลังกายระดับปานกลาง เช่น เดิน 20 นาที ก็ได้ผลลัพธ์ที่ดีมากและสามารถทำเป็นประจำได้อย่างง่ายดายอีกด้วย

5. ล้างมือให้สะอาด
การล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอเปรียบเสมือนภูมิคุ้มกันภายนอกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดวิธีหนึ่งในการป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่ภายในร่างกาย เพราะไวรัสบางชนิดสามารถอยู่บนพื้นผิวได้หลายชั่วโมงหรือแม้แต่เป็นวัน ควรล้างมือก่อนการปรุงอาหาร และก่อนรับประทานอาหาร รวมไปถึงล้างมือหลังจากหยิบจับสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ธนบัตร และสิ่งของสาธารณะที่มีคนใช้บริการจำนวนมาก ทำให้คุ้นชินจนเป็นนิสัย เพื่อป้องกันการได้รับเชื้อโรคต่าง ๆ นะคะ

6. ลดความเครียด
หากเราเครียดเรื้อรัง เครียดสะสมเป็นระยะเวลานาน (การวิจัยพบว่าความเครียดบางอย่างส่งผลดีต่อร่างกายจริง ๆ) จะส่งผลต่อการเพิ่มการหลั่งฮอร์โมนที่มีฤทธิ์กดภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ภูมิต้านทานต่อโรคต่าง ๆ ลดลง จึงเกิดการติดเชื้อได้ง่าย ดังนั้นการลดความเครียดจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของคุณทำงานได้อย่างราบรื่น ลองเริ่มต้นด้วยการผสมผสานวิธีการต่าง ๆ เข้ากับกิจวัตรประจำวันของคุณ เช่น การทำสมาธิ การหายใจลึก ๆ การพักงานช่วงสั้น ๆ หรือเมื่อจำเป็น ให้หากลุ่มบำบัดหรือที่ปรึกษาเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับความเครียดของคุณนะคะ

7. เลือกเครื่องดื่มเพิ่มภูมิคุ้มกัน
ปรับเปลี่ยนเครื่องดื่มแก้วประจำของคุณให้เป็นผลิตภัณฑ์นมสด นมรสจืดพร่องไขมัน น้ำผลไม้คั้นสด น้ำขิง ที่มีคุณประโยชน์ในการช่วยเสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย หรือเลือกเครื่องดื่มที่ไม่ผสมน้ำตาล เพราะเครื่องดื่มที่มีรสชาติหวานอร่อยอยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน เห็นได้จากสารพัดเมนูเครื่องดื่มในปัจจุบันที่เรียกได้ว่า รับเอาวัฒนธรรมจากต่างชาติเข้ามาเยอะเลยทีเดียว มีการปรุงแต่งรสชาติไปด้วยความหวาน หรือจะเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มสำเร็จรูปจำพวก น้ำผัก ผลไม้รวม ที่แม้จะอ้างว่ามีส่วนประกอบจากน้ำผัก-ผลไม้หลายชนิด แต่ถ้าลองดูข้อมูลส่วนประกอบจะเห็นว่า เกือบหลายยี่ห้อจะมีน้ำตาลเป็นส่วนผสมในปริมาณที่เกินกว่าความต้องการของร่างกายที่ส่งผลเสียต่อเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันรวมทั้งเซลล์เม็ดเลือดขาวซึ่งมีหน้าที่โจมตีแบคทีเรียที่ไม่ดีในร่างกายของเรานะคะ
 
ที่มา
[1] COVID-19 VS ไข้หวัดใหญ่ อาการต่างกันอย่างไร? / โรงพยาบาลขอนแก่น ราม
[2] ภูมิแพ้ VS ไข้หวัด VS ไข้หวัดใหญ่ VS โควิด-19 แยกให้เป็นไม่ตื่นตระหนก / กระทรวงสาธารณะสุข
[3] ความแตกต่างระหว่าง COVID-19 vs ไข้หวัดอื่นๆ / โรงพยาบาลเวชธานี
แชทผ่านไลน์ @Liveandfit